สุดท้ายรสาตัดสินใจไม่ร่วมเดินทางไปกับพวกปวรรุจ เอื้อย อ้าย แอบเสียดายที่ไม่ได้ร่วมเดินทางไปกับอั๋นและปกรณ์ สามสาวต้องลากกระเป๋าไปสถานีรถไฟกันเอง ระหว่างทางทั้งสามเห็นมีร้านกาแฟและขนมเล็ก ๆ ข้างทาง จึงพากันเข้าไปนั่งพัก อ้ายเอื้อยพอรู้ว่าภัทรพนักงานในร้านเป็นคนไทยที่มาเรียนหนังสือที่สวิสก็รีบชวนคุยเป็นการใหญ่
“ฉันหนูเอื้อย หนูอ้าย และนี่ท่านหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์”
“หนูเอื้อยน่ะไปบอกเขาทำไม”
“ไหน ๆ บอกไปแล้วก็บอกไปเถอะ นี่....ท่านหญิงจริง ๆ นะเราไม่ได้หลอกคุณเล่น”
“กระหม่อมขอต้อนรับท่านหญิงที่เสด็จมาร้านเล็ก ๆ ของกระหม่อมขอรับ”
ระหว่างแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม อั๋นจับได้ว่าอิ่มแอบขโมยกระเป๋าสตางค์ของสามสาวมา อิ่มกลัวปวรรุจกับปกรณ์จะรู้ความจริง อั๋นต้องช่วยโกหกว่าเก็บกระเป๋าสตางค์ได้ในรถ ปกรณ์กับปวรรุจนึกเป็นห่วงสามสาว รีบชวนกันขับรถย้อนกลับไปตามหา
สามสาวดื่มกาแฟ ทานขนมเสร็จเรียบร้อย กำลังจะเรียกภัทรมาเช็กบิล รสาเปิดกระเป๋าสะพายของตน แล้วควานหากระเป๋าสตางค์ แต่ไม่เจอ ทั้งกระเป๋าสตางค์ของตนเอง และของฝาแฝดที่ฝากไว้ ภัทรเดินมาเช็กบิล อ้ายรีบแก้สถานการณ์ด้วยการสั่งขนมมาเพิ่มเพื่อถ่วงเวลา พอเห็นภัทรกำลังยุ่งอยู่กับลูกค้าในร้าน อ้ายก็รีบฉุดรสากับเอื้อยวิ่งหนีออกไปจากร้านทันที ภัทรหันมาเห็นรีบวิ่งตามสามสาวไป
สามสาววิ่งไปถึงทางแยก รสาวิ่งนำมา พอพ้นแยกรสาเลี้ยวเข้าตัวตึกเก่าโบราณ แต่อ้ายและเอื้อยไม่รู้ วิ่งเลยไป ภัทรวิ่งตามแฝดทิ้งระยะไม่มาก รสาหลบอยู่ในตัวตึกที่ดูทึบทึมน่ากลัว
อ้ายเอื้อยวิ่งไปเจอปกรณ์กับอั๋นที่วิ่งมาตามหาสามสาวพอดี ภัทรวิ่งตามมาทัน ปกรณ์กับภัทรรู้จักกันเพราะภัทรเคยทำงานที่ร้านปกรณ์มาก่อน อ้ายขอให้ปกรณ์ช่วยคุยกับภัทรให้ ภัทรมีท่าทีอ่อนลงเมื่อรู้จากปกรณ์ว่าสามสาวทำกระเป๋าสตางค์ตกไว้ในรถปกรณ์
รสาเดินฝ่าความมืดเข้าไปในตัวอาคาร เห็นแสงสว่างรำไรอยู่ที่ปลายทาง รสาเดินตรงไปที่ปลายทางนั้น เสียงฝีเท้าสะท้อนก้อง รสาเริ่มหวาดหวั่น ภาพเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่ถูกปวรรุจแกล้งหลอกให้เดินหลงไปในบ้านร้างหลังวังอรุณรัศมีผุดขึ้นมาในหัว ปวรรุจตามมาเจอรสาเข้าพอดี รสาผวาเข้ากอดร่างปวรรุจไว้ ซบหน้ากับแผงอก
“พี่ชาย ช่วยด้วย ช่วยรสาด้วย พี่ชายอย่าแกล้งรสาแบบนี้อีก รสากลัวความมืดพี่ชายก็รู้ รสาจะไม่ดื้อกับพี่ชายอีกแล้ว”
ปวรรุจกอดหญิงสาวไว้ รสาค่อย ๆ ได้สติกลับคืนมา ปวรรุจช่วยประคองพารสาออกไปจากตัวอาคาร
“เห็นไหม ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด”
“น่าอายจังที่ฉันกลัวจนขาดสติแบบนี้”
“เธอร้องเหมือนเด็ก ๆ คงเป็นวัยเด็กของเธอละมัง เกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม” “เรื่องของฉันมันก็แค่เรื่องเด็ก ๆ ไร้สาระแค่นั้น” “แต่มันต้องสำคัญกับเธอมาก และการที่เธอได้ระบายมันออกมามันอาจจะช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายกับมันมากขึ้น”
“คุณชายอยากฟังจริง ๆ เหรอคะ”
“จริงซี ฉันอยากฟังเรื่องทั้งหมด รวมทั้งเรื่องของพี่ชายของเธอที่แกล้งเธอนั่นด้วย”
รสายิ้มและเริ่มเล่า “ค่ะ พี่ชายคนนั้นเขาไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ ของฉันหรอก แต่เขาก็เป็นพี่ชายคนเดียวที่ยอมเล่นกับฉัน ทั้ง ๆ ที่เขารู้ว่าการมาเล่นกับเด็กผู้หญิงเอาแต่ใจตัวเองอย่างฉัน มันน่าเบื่อแค่ไหน”
ภัทรพาทุกคนกลับมาที่ร้าน อ้ายกับเอื้อยนึกเป็นห่วงรสาจะออกไปตามหา แต่ปกรณ์กับอั๋นบอกให้รออยู่ที่ร้านก่อนดีกว่า เพราะปวรรุจก็หายตัวไปด้วยเหมือนกัน ถ้าออกไปตามหากลัวจะคลาดกันอีก ทางร้านคิดค่าปรับสามสาวเป็นเงินสามเท่าของราคาอาหาร อ้ายบอกให้รอรสามาก่อนถึงจะมีเงินจ่าย ปกรณ์รีบหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายค่าอาหารแทนสามสาว อ้ายยิ้มดีใจ มองปกรณ์อย่างเทิดทูน
รสาเล่าเรื่องราวครั้งอดีตให้ปวรรุจฟังต่อเนื่องจนจบ ปวรรุจนึกถึงเรื่องของตนเองกับท่านหญิงแต้วขึ้นมาทันที
“เรื่องราวของเธอมันคล้าย ๆ เรื่องของฉันเหมือนกันนะ เรื่องของฉันกับพระองค์หญิงองค์น้อยองค์นึง”
รสามองปวรรุจอย่างคาดหวัง “ใครคะ”
“หม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา อรุณรัศมิ์ หรือที่เรียกกันว่า ท่านหญิงแต้ว”
“แล้วเรื่องมันคล้ายกันยังไงคะ”
“ฉันเคยแกล้งหญิงแต้ว พาเข้าไปในตึกร้างหลังวังท่านหญิงน่ะซี เหมือนเรื่องของเธอเลย”
“เหรอคะ แล้วเกิดอะไรขึ้น” ปวรรุจเล่าให้รสาฟังว่าตอนเด็กเขาหลอกพาท่านหญิงแต้วเข้าไปในตึกร้าง ท่านหญิงแต้วเดินไปเจองูในตึกร้าง แม้ปวรรุจจะกลับมาช่วยไม่ให้ท่านหญิงแต้วโดนงูกัดได้ แต่ท่านหญิงแต้วก็กลัวมาก จนถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันที
“ฉันรู้สึกผิดมากจนถึงทุกวันนี้ ที่แกล้งหญิงแต้วจนเธอหมดสติไป ฉันน่าจะดูแลหญิงแต้วให้ดีตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่”
“คุณชายบอกเองว่าหญิงแต้วดื้อและเอาแต่พระทัย เล่นด้วยไม่สนุกนี่คะ”
“ก็ใช่....แต่ฉันก็ไม่ควรแกล้งท่านหญิงให้ทรงเข้าไปในที่อันตรายอย่างนั้น ถ้างูตัวนั้นฉกกัดท่านหญิง และท่านหญิงเป็นอะไรไป ฉันคงไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองอีกเลย”
รสายิ้มปลื้ม “คุณชายจำทุกอย่างของท่านหญิงได้เหรอคะ”
“ไม่เคยลืม ยิ่งวันสุดท้ายที่ฉันได้เจอท่านหญิง และรู้ความจริงบางอย่างฉันยิ่งไม่มีวันลืมท่านหญิงอีกเลย”
“ความจริงอะไรคะ”
ปวรรุจกำลังจะเล่า ปกรณ์วิ่งเข้ามาขัด จังหวะเสียก่อน “คุณชาย คุณรสา โธ่....มาอยู่ที่นี่เอง”
“หนูอ้าย หนูเอื้อยล่ะคะ”
“รออยู่ที่ร้านแล้วครับ เคลียร์ค่าปรับให้เรียบร้อยแล้ว ไปเถอะ”
ทั้งสามเดินกลับร้าน รสาเสียดายที่ไม่ได้ฟังเรื่องของปวรรุจต่อ
แม้ปกรณ์จะช่วยเคลียร์เรื่องค่าอาหารให้แล้ว แต่ภัทรยังไม่พอใจสามสาวอยู่ดี พอสามสาวมาขอใช้ห้องน้ำ ภัทรตัดสินใจพูดออกมา
“ผมขอเตือนหน่อย อย่าไปหลอกชาวบ้านเขาแบบนี้ โดยเฉพาะคนไทยอย่างผม”
“เอ๊ะ คุณพูดเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่คุณอ้างว่าคุณเป็นท่านหญิงน่ะซีครับ คุณรสา ถึงผมจะอยู่ไกลบ้านไกลเมือง ผมก็ไม่ใช่ไอ้โง่ที่พวกคุณมาหลอกกันได้ง่าย ๆ เชิญเข้าห้องน้ำ แล้วรีบออกไปจากร้านผมเลยครับ”
สามสาวอ้าปากค้าง ปวรรุจมองตรงมาที่รสา รสาอึ้งพูดไม่ออก พอภัทรเดินไปแล้ว ปกรณ์ก็รีบหันไปถามสามสาว
“พวกคุณหลอกนายภัทรว่าเป็นท่านหญิงเหรอ”
“เออ....คือ เราพูดเล่นกันน่ะค่ะนายภัทรมาได้ยินเข้าก็คิดเป็นตุเป็นตะว่าเป็นเรื่องจริง”
“แต่ก็ไม่สมควรไปหลอกเขาแบบนั้น”
รสาหลบตาปวรรุจที่มองมาอย่างดุ อ้าย เอื้อยเจื่อนไป
“รสา ขอคุยส่วนตัวสักเดี๋ยวเถอะ”
ปวรรุจเดินนำไป รสาตามไป แฝดและ ปกรณ์มองตามอย่างเป็นห่วง
“ฉันไม่นึกว่าเธอจะชอบเล่นตลกแผลง ๆแบบนี้”
“ยังไงคะ”
“ก็อ้างตัวเป็นท่านหญิงน่ะซี”
“อ้าย เอื้อยแกล้งพูดเล่นขึ้นมา เขาไม่ได้ตั้งใจ”
“แต่เธอก็รับสมอ้างไม่ใช่เหรอ ถ้ามีคนเข้าใจผิดเธอก็ควรจะรีบแก้ไขเสีย เรื่องพระยศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เธอไม่ควรเอามาล้อเล่น”
“เหรอคะ ที่คุณชายเตือนฉัน เพื่อให้ฉันเคารพในตัวคุณชายมากขึ้นกระมัง ให้สมกับความเป็นหม่อมราชวงศ์ของคุณชาย”
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง