ผู้เขียน หัวข้อ: แค้นเสน่หา วันที่ 29 กรกฎาคม 2556  (อ่าน 342 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ RobotNew

  • Moderator
  • *****
  • กระทู้: 3411
  • Level:
    0%
  • Thank : 0
    • ดูรายละเอียด
    • สะกิดข่าว
    • อีเมล์
แค้นเสน่หา วันที่ 29 กรกฎาคม 2556
« เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 02:13:54 am »

 “หม่อมฉันไม่อยากปดมังคะ วันหนึ่งคุณชายก็ต้องทราบ”
    
    “จะให้ฉันทำยังไงกับเฟืองดี...ฮึ ผ่อง นี่อย่านั่งหน้าซื่อดื้อเงียบนะผ่อง ช่วยกันคิด”
    
    “ท่านหญิงรับสั่งกับพี่เฟืองตั้งหลายครั้งแล้ว แกเชื่อเสียเมื่อไหร่ล่ะมังคะ”
    
    “ฉันบอกให้แกช่วยคิด”
    
    “คิดไม่ออกมังคะ”
    
    “เพราะแกรักเฟืองผ่อง แกจึงคิดวิธีไล่เฟืองไม่ได้ เหมือนฉัน ฉันรักเฟือง ฉันคิดวิธีไล่เขาไม่ได้ ที่จริงก็มีวิธีแต่ฉันไม่ทำ เพราะเฟืองจะเจ็บปวดมาก”
    
    “วิธีอะไรหรือมังคะ”
    
    “หาคนมาไล่เฟือง...แต่ผ่องคิดว่าฉันจะทำร้ายเฟืองได้หรือ”ท่านหญิงแขไขบอกอย่างเครียด ๆ
     
    วิญญาณเฟืองอยู่ที่เรือนข้าหลวงรับรู้ในคำพูดของท่านหญิง น้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ....ด้านชายเดียวเมื่อถึงเวลากลับหอพัก จึงไปลาท่านหญิงแขไขที่ในห้อง
    
    “ชายต้องกลับแล้วค่ะท่านแม่”
    
    “พรุ่งนี้สอบ...กลับไปเถอะแม่ไม่เป็นอะไร แล้ว รุ้งเขาอยู่”
    
    ชายเดียวเดินไปโอบกอดท่านหญิง กิริยาน่ารัก ดูอบอุ่นยิ่ง
    
    “ขอบใจนะลูก จะสอบยังอุตส่าห์มา”
    
    เวลาเดียวกัน คุณหญิงทอแสงน้อยใจชายเดียว แล้วเธอต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเฟืองยืนอยู่ใกล้ ๆ
    
    “อิฉันเป็นข้าหลวงค่ะ”เฟืองก้มหัวลง คารวะ
    
    “ข้าหลวงหรือ ไม่เห็นเคยเห็นเลย ทำอะไร”
    
    “ก็ทำหลายอย่างค่ะ”
    
    เฟืองก้มตัวนิด ๆ เดินผ่านไป คุณหญิงทอแสงหมดความสนใจ จะเดินกลับไปเห็นชายเดียวกับรุ้งยืนอยู่ที่รถ ทั้งสองพูดคุยด้วยท่าทางสนิทสนม แล้วชายเดียวก็ขึ้นรถไป รุ้งโบกมือให้ ทอแสง หัวใจเต้นแรงด้วยความริษยา
    
    “นังมารยา”
    
    คุณหญิงทอแสงหันมอง เฟืองที่ยืนมองรุ้งด้วยความเกลียดชัง
    
    “แกก็รู้ใช่มั้ยว่ามันน่ะมารยา เจ้าเล่ห์ ทำเป็นสงบเสงี่ยม”
    
    “รู้ค่ะคุณหญิง รู้ดีทีเดียว”
    
    เฟืองจริงจัง ซึ่งถูกใจคุณหญิงทอแสงมาก
     
    ฉัตต์ปลอมตัวมานั่งคอยรุ้งที่ร้านอาหารสวนราตรีด้วยหัวใจร้อนรุ่ม...จันทร์แอบมอง นึกเป็นห่วงรุ้งบอกให้ยอดดักคอยอยู่ที่หน้าร้าน แล้วจันทร์ก็เดินเข้าไปหาฉัตต์นึกปั่นป่วนว่าเขาจะเอายังไง ฉัตต์ไม่เฉลียวใจว่าจันทร์รู้แล้ว
    
    “คุณพจน์ ปัณณธร ...เสียชีวิตไปแล้วใครเป็นเจ้าของต่อมา คุณเหรอ....”
    
    เธอชื่อคุณฉัตต์ ปัณณธร เป็นลูกชายคนเดียวของคุณพจน์ เธอเป็นเจ้าของร้านที่นี่ บ้านปัณณธร และทุกอย่างที่คุณพจน์มีค่ะ”
    
    “แล้วลูกชายเขารู้รึเปล่าว่าคุณเอาบ้านของเขามาทำเป็นร้านอาหาร”ฉัตต์หาเรื่องต่อ
    
    “ไม่ทราบค่ะ”
    
    “ทำไมคุณไม่บอกเขา”
    
    “เรามีเหตุผลค่ะ...เราอธิบายได้”
    
    ฉัตต์ลุกพรวด เลื่อนเก้าอี้เสียงดัง แล้วเดินไปอย่างโมโห.... จันทร์ไม่พอใจและต่อว่าเมื่อรู้ว่ารุ้งไปที่วังรังสิยา โดยไม่บอกเธอก่อน
    
    “แม่จันทร์...นี่อะไรกันจ๊ะ ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ท่านหญิงประชวรลูกไม่ได้ไปเพื่อพบคุณชาย แม่จันทร์อย่าคิดไกลอย่างนั้น”รุ้งอธิบายเหตุผล
    
    “คิดไกลอย่างไหน...แม่เคยบอกแล้วว่าต้องเจียมตัว ตีเสมอเธอไม่ได้ คุณชายเธอเป็นลูกเจ้าลูกนาย มาที่บ้าน คุยกันพอแล้วไม่ต้องไปหาที่วัง” จันทร์ต่อว่ารุ้ง
    
    “ลูกไม่เคยคิดอะไรอย่างที่แม่จันทร์ว่า ลูกเจียมตัวเสมอ คิดแต่เรื่องเรียนเรื่องทำงาน ไม่เคย...คิดว่า...”
    
    “แม่ไม่คิดว่ารุ้งจะทำได้ขนาดนี้”จันทร์ไม่พอใจ
    
    “ลูกไม่อยากเถียงแม่แต่ลูกไม่มีเจตนาไปพบคุณชาย ท่านหญิงประชวร...”
    
    “ถึงยังไงก็ไม่สมควร วันหลังถ้าแม่พบคุณชาย แม่จะบอกเองว่าไม่ให้รุ้งไปที่นั่น”
    
    “อย่าทำนะจ๊ะแม่จันทร์ ลูกคงกลั้นใจตายถ้าแม่จันทร์พูดอย่างนั้น แม่จะทำให้เรื่องไปกันใหญ่ คุณชายเธอไม่เข้าใจแน่ ๆ เอาเป็นอันว่าลูกเชื่อแม่ลูกไม่ไปที่นั่นอีก...รักษาสัญญาแล้วกัน”
    
    ค่ำคืนวันนั้น จันทร์เอาสร้อยห้อยเหรียญมาสวมให้ รุ้งดีใจเมื่อจันทร์บอกว่าเป็นของพ่อ พลางกำชับไม่ให้รุ้งถอดเป็นอันขาด และว่าวันหนึ่งเธอจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง
    
    คุณหญิงเพ็งไปถือศีลที่วัดต่างจังหวัด จันทร์ตามไปคอยดูแล ฝากให้ยอดช่วยดูแลรุ้งด้วยระหว่างที่เธอไม่อยู่ ด้านฉัตต์ก็ตัดสินใจกลับบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่บัวโทรศัพท์หาฉัตต์บอกว่ากลับมาเมืองไทยแล้ว เขาจึงบอกให้เธอมาหาที่บ้าน พร้อมเชิญพี่ชายบัวมาด้วย
    
    “สวัสดีครับคุณร้อยตรี ขอต้อนรับในนามเจ้าของบ้านปัณณธรและสวนอาหารราตรี” ฉัตต์ทักทาย
    
    “คุณนั่นเอง” ปยุตพึมพำเบา ๆ
    
    “พี่ยุต ...เพื่อนบัวคุณฉัตต์ ปัณณธร ฉัตต์คะ พี่ยุตพี่ชายบัวค่ะ” บัวแนะนำ
    
    “คุณก็คือ ผู้ชายหยาบคายที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งขายหน้าต่อหน้าธารกำนัน ที่แย่ที่สุดคือผู้หญิงคนนั้นเป็นคนในครอบครัวคุณเอง”
    
    “ผมบอกแล้วไงว่า คน ๆ นั้นเป็นแค่กาฝากของบ้านนี้”
    
    “คุณฉัตต์”
    
    ชายเดียวกลับจากโรงพยาบาล พร้อมกับมาส่งรุ้งที่บ้าน รุ้งรู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง
    
    “รุ้ง เป็นอะไรครับ”
    
    “ไม่ทราบเป็นอะไรค่ะ” รุ้งกดที่ท้องเหมือนมวน ๆ
    
    สารภีเดินออกมาบอกรุ้งว่าฉัตต์กลับมาแล้ว ชายเดียวตื่นเต้นดีใจ จูงมือรุ้งเข้ามาในบ้านทักทายฉัตต์ทันที รุ้งยืนนิ่งในใจหวั่นไหว ขณะที่ฉัตต์ไม่พอใจเห็นชายเดียวกุมมือรุ้งอยู่
    
    “จะไม่ทักทายกันสักคำหรือคุณรุ้ง” ฉัตต์พูดเสียงห้วน ๆ
    
    รุ้งปลดมือตัวเองจากมือชายเดียว พนมมือไหว้ฉัตต์
    
    “ขอบใจที่ปกปิดเรื่องคุณพ่อ” ฉัตต์เสียงเครียดจัด
    
    “รุ้งเขามีเหตุผลนะครับพี่ฉัตต์...พี่ฉัตต์ควรฟังเหตุผลก่อน” ชายเดียวบอก
    
    ฉัตต์หันมาทางชายเดียว
    
    “ผมนึกว่าชายเดียวเรียนหมอ ไม่รู้ว่าเรียนกฎหมาย เป็นทนายแก้ต่างให้คน”
    
    “ผมก็นึกว่า พี่ฉัตต์ไปเรียนเมืองหนาวจะทำให้ใจเย็นลง”
    
    “ผมก็มีเหตุผล”
    
    “ทุกคนมีเหตุผล น่าจะใช้เหตุผลตัดสินไม่ใช่อารมณ์”
    
    “ตัดสินด้วยเหตุผลแล้วก็ต้องเป็นอย่างนี้”
    
    ทุกคนพากันนิ่งไปกันหมด
    
    “ผมขอโทษที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ วันนี้พี่ฉัตต์อารมณ์ไม่ดี มีแขกด้วยผมลาก่อนคงได้คุยกันวันหลัง...ผมแค่มาส่งรุ้งเท่านั้น ...รุ้งครับ ผมส่งรุ้งตรงนี้นะครับ จะทูลท่านแม่ว่ารุ้งจะไปค้างด้วยวันหลัง” ชายเดียวมองรุ้ง
    
    “มาส่งทำไม” ฉัตต์ฉุนเฉียว
    
    ฉัตต์มองหน้ารุ้ง สีหน้าตื่นตระหนก ยั่วอารมณ์ให้แรงขึ้น
    
    “อยู่วังรังสิยามีความสุขดี ก็อยู่ที่นั่นไปเลยไม่ต้องกลับมา บ้านปัณณธร ไม่ต้องการผู้หญิงคนนี้”
    
    รุ้งมองฉัตต์อย่างปวดร้าวใจมาก ฉัตต์เองตกใจในคำพูดตัวเองเหมือนกัน
    
    “มากไปแล้วพี่ฉัตต์...มากไปแล้ว ไปรุ้ง...ไปกับผม บ้านปัณณธรไม่ต้อนรับ แต่วังรังสิยาเปิดประตูต้อนรับรุ้งเสมอ”
     
    ชายเดียวดึงมือรุ้งออกไปทันที ฉัตต์ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น สักครู่ฉัตต์ขยับตัว สีหน้ายังเครียดเข้ม
    
    “ฉัตต์คะ ทำไมฉัตต์โมโหขนาดนี้คะ เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย”
    
    “ใช่ เขายังไม่พูดอะไรเลย ขนาดสอบสวนผู้ต้องหา เขายังต้องเปิดให้จำเลยได้พูด คุณคิดว่าคุณเป็นเทพเจ้าชี้เป็นชี้ตายให้คนอื่นได้หรือไง...ผมทุเรศคุณตั้งแต่วันนั้น แต่ตอนนี้ผมยิ่งทุเรศคุณเพิ่มขึ้น คุณเก่ง คุณยิ่งใหญ่เหลือเกินที่ทำผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไม่มีทางสู้ ด่าเขา ประณามเขาต่อหน้าคนตั้งหลายคน...คุณมันไม่ใช่คน” ปยุตต่อว่าฉัตต์แรง
    
    “พี่ยุต” บัวหันไปปรามพี่ชาย
    
    “พี่ทนอยู่ในบ้านนี้ไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว บัว น้องอยากอยู่ก็อยู่ไป พี่กลับก่อนล่ะ”
    
    ปยุตเดินออกไปอย่างโมโห แต่บัวไม่สนใจเพราะรักฉัตต์มาก
     
    ชายเดียวพารุ้งมาพบท่านหญิงแขไข ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องทำงานของท่านชาย เพื่อขออนุญาตให้รุ้งพักอยู่ที่วังด้วย จนกว่าจันทร์และคุณหญิงเพ็งจะเดินทางกลับจากถือศีลที่วัดต่างจังหวัด ท่านหญิงแขไขจ้องมองรุ้ง แล้วพยักหน้ารับรู้
    
    “อยู่ที่นี่ไปก่อนฉันอนุญาต จะไม่ถามให้มากเรื่องว่ามีเรื่องอะไร แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แต่ต่อไปคงต้องคุยกันกับคุณหญิงและแม่ของเธอ”
    
    “มังคะ เป็นพระกรุณามังคะ” รุ้งก้มลงกราบ
    
    “ชายกลับได้แล้ว สอบอีกกี่วันเสร็จ” ท่านหญิงหันไปสั่ง
    
    “อีกวันเดียวค่ะ ก็ปิดเทอมแล้ว สอบมะรืนนี้
    
    ท่านหญิงพยักหน้าให้ชายเดียวกลับได้ ชายเดียวเข้าไปกอดท่านแม่ จูบเบา ๆ ที่แก้ม แล้วหันมาทางรุ้ง พยักหน้าให้กำลังใจ รุ้งยกมือไหว้ขอบคุณชายเดียว
    
    “ผมสอบเสร็จจะรีบกลับมา... อยู่กับท่านแม่ไม่ต้องกลัว”
    
    “รุ้ง...มากราบท่านพ่อของชายเดียว ขออนุญาตท่านว่าจะมาอยู่”
    
    รุ้งกราบลง ท่านหญิงมองสายตาใคร่ครวญ รุ้งเงยหน้าพนมมือมองภาพท่านชาย ลดมือที่พนมสายสร้อยและจี้ หลุดจากคอเสื้อตอนก้มกราบ ท่านหญิงเห็นจี้ ถึงกับตะลึง
    
    “ขอดูหน่อย เหรียญอะไรแปลกดี ไม่ต้องถอดหรอก มาตรงนี้”
    
    รุ้งเขยิบเข้าไปใกล้ ท่านหญิงหยิบเหรียญมาดู พระพักตร์ซีดเผือด ถามใครให้เหรียญนี้ รุ้งบอกแม่เพิ่งให้
    
    “แม่บอกว่าเป็นของพ่อให้ไว้มังคะ ตั้งแต่รุ้งเกิด”
    
    “เธอเกิดวันอะไรหรือรุ้ง” ท่านหญิงถามเสียงสั่น
    
    แล้วรุ้งก็เล่าให้ท่านหญิงแขไขฟังเท่าที่รู้ ท่านหญิงที่ตั้งใจฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ..
     
    เวลาเดียวกันบัวนั่งเล่นอยู่ที่มุมหนึ่งของ บ้านปัณณธร คอยชำเลืองมองฉัตต์นั่งสีหน้าเครียดเคร่ง เพราะรู้ว่าตัวเองทำเกินไป แต่อีกใจก็ยังนึกโกรธที่ปกปิดเรื่องการเสียชีวิตของพจน์ ..บัวเข้ามาจับมือของฉัตต์แล้วปลอบประโลม
    
    “บ้านฉัตต์ดี๊ดีนะคะ เย็นสบายน่าอยู่จัง”
    
    “ชอบเหรอ”
    
    “ค่ะ บ้านโบราณน่าจะ...กี่ปี”
    
    “ชอบก็มาอยู่สิ”
    
    “ยังไงคะ บัวจะมาอยู่ได้ยังไง.. ตลกแล้ว”
    
    “ผมอนุญาตอยู่นี่ไง...มาเถอะมาเลย เราแต่งงานกัน คุณก็มาอยู่นี่...คุณชอบผมไม่ใช่หรือ”
    
    “ฉัตต์” บัวตาเบิกกว้าง จ้องหน้าฉัตต์
    
    “ผมควรแต่งงานกับคนที่รักผม คุณจะแต่งงานกับผมมั้ยพิสินี”
    
    บัวยิ้มยินดีกับคำขอนั้นยิ่งนัก...
     
    ค่ำคืนนั้น ท่านหญิงแขไขที่รู้สึกช็อกและสับสน กับเรื่องที่เคยสงสัย ไม่คาดคิดว่าจะเป็นจริง เมื่ออยู่ตามลำพังในห้องจึงเรียกผีเฟืองให้ออกมาพบ แต่เฟืองก็เงียบหายไป...
    
    คุณหญิงทอแสงร้อนใจเรื่องที่รุ้งมาพักอยู่ที่วังรังสิยา จะมาคุยกับท่านหญิง แต่กลับโดนตวาดไล่ เธอรู้สึกน้อยใจ ตัดสินใจจะกลับวังของตน แต่ผีเฟืองมาขวางไว้
    
    “อ๋อ ข้าหลวงแก่คนนั้นน่ะเอง...ชั้นจะกลับวัง”
    
    “กลับได้ยังไงคะ นี่มันดึกแล้ว”
    
    “ท่านป้าไล่... ไล่ฉันเหมือนตัวอะไรไม่รู้”
    
    “ไม่เห็นเป็นเรื่อง...แค่นี้เอง ขึ้นตำหนักเถอะค่ะ”
    
    “เอ๊ะ เรื่องอะไรแกมาว่าชั้น แกไม่ใช่คนโดนไล่นี่แกจะรู้อะไร”
    
    “อิฉันโดนค่ะ โดนไล่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้ไปเกิด...”
    
    “ไปไหนนะ”
    
    “แต่ไล่ยังไงอิฉันก็ไม่ไป อิฉันรักท่าน มีความรักเราทนได้ทุกอย่าง...ถ้าจะรัก ต้องอดทนเจ้าค่ะ อดทนไว้แล้วจะมีหนทาง”
    
    เช้าวันใหม่ ฉัตต์มาหารุ้งที่โรงพยาบาลบอกมีเรื่องต้องพูดกัน รุ้งยืนนิ่ง เห็นความเกลียดชังในแววตาชายหนุ่ม ฉัตต์คว้ามือรุ้งไปคุยในที่ลับตาคน
    
    “ทำไมคุณฉัตต์ ต้องทำอย่างนี้คะ”
    
    “ทำเป็นไม่รู้”
    
    “รุ้งไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ”
    
    “อย่าพูดแก้ตัวฉันไม่อยากฟัง จนขนาดนี้ยังไม่รู้ว่าความผิดของตัวเองคืออะไร มันจะไม่โง่ไปหน่อยหรือ...อย่าทำท่าเหมือนฉันพูดไม่รู้เรื่อง...ถ้าเธอจากบ้านไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ...กลับมาบ้าน...พ่อตาย บ้านกลายเป็นร้านอาหารมีคนสารพัดแบบมาเดินเหยียบย่ำจนเป็นรอยเต็มไปหมด เธอจะรู้สึกยังไง...เธอจะรู้สึกยังไงก็ตาม ฉันจะไม่ทำท่าเวทนาเธออย่างนี้หรอก” ฉัตต์ระเบิดความอัดอั้นออกมา
    
    “รุ้งไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น รุ้งขอโทษค่ะ”
    
    รุ้งยกมือไหว้สายตาเศร้า ๆ ฉัตต์มองแล้วใจหวั่นไหวเกือบใจอ่อน
    
    “รุ้งว่าเราต้องพูดกันยาว วันนี้รุ้งจะไปทำงานที่ร้านค่ะ แล้วค่อยพูดกันได้มั้ยคะ”
    
    “ยังจะมีหน้าไปร้านนั่นอีกหรือคิดว่าเป็นเจ้าของรึไง”
    
    “แม่ไม่อยู่ ร้านไม่มีคนดูจะยุ่งมากค่ะ”
    
    “มันจะยุ่งมากกว่านั้นอีก เพราะฉันจะปิดมัน ไม่มีการขายอาหารอีกต่อไป ...ปิดไปตลอด”
    
    เย็นวันนั้น รุ้งก็รีบมาที่ร้านอาหารราตรีทันที เพราะเป็นห่วงที่ไม่มีใครดูแลร้าน ฉัตต์ที่นั่งจ้องรออยู่เข้ามาขวาง สองคนจ้องมองกันนิ่ง ใจเต้นแรงทั้งคู่
    
    “จะปิดต้องแจ้งลูกค้าก่อน”
    
    “ไม่จำเป็น”
    
    “จำเป็นค่ะ”
    
    “ฉันบอกว่าไม่จำเป็น เธอมีสิทธิอะไรมาออกความเห็น”
    
    “คุณฉัตต์ไม่เคยเป็นพ่อค้า รุ้งเป็นแม่ค้า รุ้งรู้ว่าลูกค้าเป็นคนที่สำคัญที่สุด อย่างวันนี้คุณฉัตต์จะปิดทันทีไม่ได้เพราะทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว”
    
    “ไม่สำคัญทิ้งไปให้หมด”
    
    “จวน 5 โมงเย็น ลูกค้ารอบเย็นกำลังจะมา เขาไม่ควรผิดหวัง”
    
    “ผิดหวังก็ผิดหวังไป ฉันไม่แคร์” ฉัตต์พูดกวน ๆ
    
    “ลูกค้าจะไปพูดกันปากต่อปากว่า สวนราตรีทำอะไรไม่นึกถึงใจลูกค้า” รุ้งพูดอย่างใจเย็น
    
    “เขาก็เข้าใจถูกแล้วนี่”
    
    “วันข้างหน้า ถ้าเราเปิดร้านขายอีกจะ...”
    
    “ยังจะกล้าหาญพูดเรื่องเปิดร้านอีกหรือ” ฉัตต์เริ่มไม่พอใจอีก
    
    “ถ้าเปิดอีก จะไม่มีลูกค้ามาทานอาหารเราอีกเลย”
    
    สองคนจ้องมองกัน ฉัตต์นัยน์ตาร้อนแรงจ้องรุ้งเขม็ง แล้วฉัตต์ก็เรียกสำเนียงมาสั่งให้ปิดร้าน บรรดาคนในครัว อ้าปากตกใจ
    
    “ปิดยังไงล่ะคะคุณฉัตต์”
    
    “ทำไมจะปิดไม่ได้”
    
    “ร้านเราไม่มีประตูนี่คะ”   

                             


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

 
แชร์บทความ...
โค้ดแบบ forum
(BBCode)
โค้ดแบบ site/blog
(HTML)