ผู้เขียน หัวข้อ: สาปพระเพ็ง วันที่ 3 กันยายน 2556  (อ่าน 392 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ RobotNew

  • Moderator
  • *****
  • กระทู้: 3411
  • Level:
    0%
  • Thank : 0
    • ดูรายละเอียด
    • สะกิดข่าว
    • อีเมล์
สาปพระเพ็ง วันที่ 3 กันยายน 2556
« เมื่อ: กันยายน 03, 2013, 02:20:55 am »

 “ทำไม คิดจะทำอะไรข้า.. ติสสา.. ต่อให้ตำแหน่งสูงถึงแม่ทัพ เจ้าก็ยังเป็นแค่ไพร่ใต้ฝ่าเท้าของข้า เจ้าปันแสง... เข้ามาเลย ถ้าอยากหัวหลุดจากบ่าต่อหน้าคนรัก”
     
    เจ้าปันแสงเอ่ยเยาะ ติสสาคั่งแค้นจ้อง
    
    “วันนึง...ท่านต้องได้เจอเวลานั้น เจ้าปันแสง เวลาที่..ไม่มีใครคุ้มครองท่านได้ ไฟชั่วในใจมันจะแผดเผาร่างผู้เป็นเจ้าของให้มอดไหม้ มีจุดจบอย่างน่าอนาถ”
    
    “อาฆาตข้าเหรอ คิดจะขู่ฆ่าข้าเพื่อนังทาสหญิงคนเดียวเลยหรือ ติสสา ช่างน่าบูชา ... หัวใจของชายผู้ยอมตายเพื่อคนรัก รออีกไม่นานหรอก ข้านี่แหละจะทำให้เจ้าได้ตายสมใจ...ยังเจ็บกาย เจ็บใจอีกหรือไม่ มรันมา...เจ้านางอินยาฝากความอาทร ความห่วงใยมาให้เจ้านะ ... รับเอาไว้ในอกของเจ้าด้วย”
    
    ติสสาฟังแล้วอยากเข้าไปขย้ำคอปันแสง แต่ทำไม่ได้ดั่งแค้น เจ้าปันแสงยิ้มเหยียดมองติสสาอย่างสาแก่ใจ
     
    อีกด้านหนึ่ง เจ้านางอินยากลัวว่าเจ้าปรันมาจะสืบรู้แผนการของตน จึงให้อุตสาไปตามหาพ่อค้ายาพิษมาฆ่าทิ้งเสีย แต่สีหสาและไพลินรู้ตัวจึงรีบหนีไปรายงานนรสิงห์
    
    “ผู้หญิงที่จะถูกฆ่ามันต้องสำคัญมากพอที่จะทำให้ศรีพิสยาแตกเป็นเสี่ยง ๆ”
    
    “ข้าไม่ต้องการคำตอบจากเจ้าอีกแล้ว ว่านางคนนั้นเป็นใคร มันช้าไปแล้ว สีหสา...ข้าให้เวลาศรีพิสยามันรื่นเริงพอแล้ว ข้าไม่ต้องการให้มันมีคืนบูชาเพ็งครั้งต่อไป ถึงเวลาของคมดาบและคาวเลือด” นรสิงห์เน้นเสียงเข้ม
     
    “เช่นนั้น...กองทัพมหาศาลของท่านก็พร้อมแล้ว” สีหสาถามด้วยแววตาเป็นประกาย
    
    “ธรรมเนียมศึก แต่โบราณจำหลักไว้ หากต้องการให้ทุกแคว้นน้อยใหญ่เลื่องลือว่า องค์นรสิงห์คือจอมทัพที่สมควรแก่การเป็นผู้ปกครอง ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่ชอบเพียงการประหัตประหารเข่นฆ่า องค์ต้องสำแดงทั้งพระเดชพระคุณ” สุเลวินค้าน
     
    “ไม่ต้อง...ให้มันทำไมพระคุณ...กับเมืองเล็ก ๆ ที่บังอาจแข็งขืนอย่างศรีพิสยา มันต้องใช้พระเดช อำนาจ การทำลายล้าง ฆ่า สังเวยชีวิตพวกมันให้กับความผิดที่กล้าท้าทายกษัตริย์แห่งเรา” สีหสาไม่พอใจ
     
    “สีหสา ความกระหายเลือด บ้าบิ่นของเจ้ามันใช้การได้ดีในสนามรบ แต่เจ้าใช้ไม่ได้เลยนะกับการทูต หากเจ้าต้องการให้ไพร่ฟ้าสรรเสริญเกียรติแห่งองค์นรสิงห์ สืบต่อยาวนานมากกว่าชั่วชีวิตของเจ้า ควรต้องใช้ทั้งความรอบคอบและปัญญา”
    
    “เจ้าด่าว่าข้าไร้ปัญญา” สีหสาหันจ้องสุเล วินอย่างเอาเรื่อง
    
    “เจ้าได้ยินอย่างนั้นหรือ”
     
    สีหสากับสุเลวินปะทะกันทางสายตา สีหสาแทบจะเข้าไปขย้ำคอสุเลวินได้ นรสิงห์มองทั้งคู่ แล้วเอ่ยปรามขึ้น
    
    “ใจเย็นก่อน สีหสา...ครั้งนี้ข้าเห็นควรว่าเราต้องทำตามธรรมเนียมศึก ข้าเองก็อยากจะไปหยั่งเชิงรบของมันดู ข้าจะให้โอกาสศรีพิสยา มันรอดตายอีกครั้ง”
    
    นรสิงห์ประกาศเสียงก้องด้วยสีหน้าของผู้ทะนงในความยิ่งใหญ่ของตน...เจ้าปรันมาให้มรันมาไปอยู่ที่ตำหนักของเจ้านางจันทเทวีเป็นการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย และอนุญาตให้ติสสาแวะไปเยี่ยมเยียนได้อย่างสม่ำเสมอ ติสสาจึงคอยแวะเวียนไปเฝ้ามรันมาด้วยความเป็นห่วง
    
    “พี่สวดอ้อนวอนภาวนา ขอให้พระเพ็งคุ้มครองน้องน้อย อย่าให้น้องน้อยต้องทิ้งพี่ชายไป”
    
    “พี่ชายห่วงน้องน้อยเหลือเกิน”
     
    ติสสากุมมือมรันมาแล้วจูบลงแผ่วเบา
    
    “ห่วงที่สุด ห่วงมากกว่าชีวิตตัวเอง...โชคดีที่เจ้าปรันมาพาตัวน้องน้อยมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นพี่คง..ต้องฆ่าเจ้านางอินยา”
    
    “พี่ชาย ...” มรันมาตกใจ
    
    “จริง ๆ นะ น้องน้อย...พี่ทำได้...พี่จะฆ่าคนที่มันทำร้ายน้องน้อยทุกคน”
    
    ติสสาแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นเจ้านางอินยา...ติสสาไม่อยากให้มรันมาเครียด จึงชวนไปนั่งเรือเล่นที่บ่อมรกตชื่นชมบรรยากาศอย่างมีความสุขด้วยกัน 
    
    “ณ ที่ตรงนี้คือสวรรค์ส่วนตัวของน้องน้อยกับพี่ชาย ขอบใจพี่ชายเหลือเกินที่พาน้องน้อยมา”
    
    “ที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่แห่งรักของเราเช่นเดียวกับอ้อมกอดพี่ชาย ที่จะมีไว้เพื่อน้องน้อยคนเดียว...พี่ชายสัญญา”
    
    “น้องน้อยเกรงว่าเจ้านางอินยา จะต้องหาทางเอาตัวน้องน้อยไปจนได้”
    
    “เจ้านางก็จะได้ศพพี่ชายไปแทน”
    
    “พี่ชาย...น้องน้อยไม่อยากได้ยิน ถ้าไม่มีพี่ชาย น้องน้อยก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว”
    
    “วันใดไม่มีน้องน้อย พี่ชายก็ไม่ขอมีลมหายใจเหมือนกัน” ติสสารำพันบอกมรันมาในอ้อมกอดอย่างรักใคร่
     
    ด้านเจ้านางอินยาเจ็บใจที่มรันมาไม่ตาย แถมยังมีบารมีของเจ้าปรันมาคุ้มหัวอีก จึงคิดใช้แผนสกปรกด้วยการยืมมือแม่เฒ่าอาคมวางยาเสน่ห์ให้ติสสาถูกครอบงำ แต่แล้วความฝันของทุกคนก็หยุดอยู่แค่นั้น...
     
    วันรุ่งขึ้น ทั้งรัดเกล้า วิกกี้ ไผ่ และวิวต่างตื่นขึ้นมาท่ามกลางความงุนงง และยิ่งแปลกใจที่ทุกคนต่างฝันตรงกันว่าพบตัวเองอยู่ในบ้านของนรสิงห์ ไผ่แปลกใจและนึกถึงท่าที่แปลก ๆ ของนรสิงห์ จึงชวนวิวไปสืบที่บ้านหลังนั้น
    
    เมื่อไปถึงไผ่พยายามร้องเรียกให้นรสิงห์ออกมาพบ แต่ภายในบ้านเงียบสนิท ฉับพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างพุ่งพรวดผ่านหน้าไป
    
    “นรสิงห์”
    
    ไผ่ยกปืนขึ้นเล็งเข้าไปในบ้าน จนวิวตกใจร้องถามว่าเขาจะยิงใคร
    
    “วิว นายเห็นนรสิงห์ใช่มั้ย”
    
    “ไม่เห็นครับ เอ่อ เห็นแต่เงาดำ ๆ วูบมา”
     
    “เมื่อกี้นรสิงห์พุ่งออกมา”
    
    “ไม่มีนะครับ ผมยังไม่เห็นประตูเปิดเลย เห็นแต่ผู้กองจะยิงปืน”
    
    ไผ่ปลดแม็กปืนออกมาดู กระสุนยังอยู่ครบ แล้วหันไปดูประตูบ้านก็ปิดอยู่
    
    “นรสิงห์...ผมเอง...ผู้กองไผ่ เปิดประตูหน่อย” ไผ่ทุบประตูเรียก
    
    “เงียบ ใบไม้ยังไม่กระดิก...คงไม่มีคนอยู่มั้งครับ เอาไงดี ผู้กอง”
    
    “กลับ” ไผ่บอก แต่สายตายังมองเข้าไปที่ในบ้าน
    
    “คราวหน้าพารัดเกล้ามาด้วย”
    
    ไผ่เหมือนได้ยินเสียงนรสิงห์ หันขวับไปมอง แต่ไม่เห็นใครเลย วิวเริ่มกลัวกับท่าทางประหลาด ๆ ของไผ่และบรรยากาศรอบ ๆ ตัว
    
    “อะไร อะไรครับ ผู้กองมองหาใคร”
    
    ไผ่หงุดหงิด รีบเดินออกไปทันที วิวรู้สึกขนลุก ก่อนจะรีบวิ่งตามไผ่ไป....พอกลับมาถึงสำนักงาน วิกกี้ก็พุ่งเข้าไปเล่นงานไผ่ เพราะไม่เห็นด้วยกับวิธีการบุกเข้าไปจู่โจมบ้านของนรสิงห์ ซึ่งถือเป็นพยานในคดีของอภิมุข
    
    “นี่ ผู้กองไผ่เห็นคุณนรสิงห์เป็นคนร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าคุณนรสิงห์โกรธขึ้นมา พยานสำคัญจะหายไปปากนึง แย่จริง ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลยนะคะ”
    
    “จะให้ปรึกษาว่าอะไรครับ ผมก็จะไปสอบปากคำคุณนรสิงห์ของเจ๊เหมือนคนอื่น ๆ ถ้าไม่ผิด ก็ไม่ควรจะต้องหลบหน้าหลบตา”
    
    วิกกี้ถลึงตา กำลังจะเถียง พัทธ์แทรกถามขึ้นก่อน
    
    “นั่นสิครับ นรสิงห์เค้ารู้อะไรเกี่ยวกับคดีนี้บ้าง นอกจากเรื่องฆาตกรเป็นผู้หญิง บ้านอยู่ใกล้กันซะขนาดนั้น คืนวันเกิดเหตุก็น่าจะได้ยินเสียงปืน แล้วธรรมชาติของคนนะครับ... ย่อมอยากรู้อยากเห็น”
    
    “นี่แหละค่ะ ที่วิกกี้กำลังแคะออกมาให้ได้ วิกกี้อยากให้ผู้กองไปเจอคุณนรสิงห์สักครั้ง บางทีเราอาจจะได้หลักฐานเชื่อมโยงเรื่องทั้งหมด”
    
    “คราวที่แล้ว คุณนรสิงห์ก็ไม่ได้บอกอะไรเราเพิ่มเติมค่ะ เหมือนกับว่าเค้าอยากให้เราไปหาบ่อย ๆ” รัดเกล้าพูดขึ้น พัทธ์ วิว ไผ่มอง โดยเฉพาะวิกกี้ที่จ้องน้องสาว
    
    “หรือไม่เค้าก็พยายามทำให้เราเจอวิญญาณ เพื่อจะบอกอะไรบางอย่าง”
    
    “เดี๋ยว ๆ วิว...นายกำลังจะบอกว่าที่ผ่านมา ทุกคนไปคุยกับวิญญาณ”
     
    “ไม่ค่ะ ไม่ใช่วิญญาณ” รัดเกล้าพูดอย่างมั่นใจ
    
    “วิกกี้ก็ขอยืนยันว่าคุณนรสิงห์ไม่ใช่วิญญาณค่ะ”
    
    “แล้วที่ผมเห็น ผู้กองไผ่เห็น เจ๊เองก็เคยเห็น...คืออะไร”
    
    “ฉันเห็นอะไร ไอ้วิว แกอย่ามาหาพวก แกเองต่างหาก เห็นอะไรวูบวาบก็ตกใจไปเอง”
    
    “งั้นเจ๊ ช่วยอธิบายเรื่องที่เราฝันเหมือนกัน 4 คน...ไปนั่งอยู่ในบ้านคุณนรสิงห์ กับเข็มขัดรัดหน้าท้องอันใหญ่ยักษ์ของเจ๊ให้ฟังหน่อย”
    
    ไผ่หลุดหัวเราะก๊ากอย่างอดไม่ได้ รัดเกล้ากลั้นยิ้ม วิกกี้เสียหน้า จ้องวิวแทบจะให้ละลายหายไปจากตรงนั้น
    
    “พอก่อน วิว วิกกี้ ...ก็ไม่รู้สินะ ผมเองก็ไม่ถึงหลงใหลไปกับเรื่องไสยศาสตร์หรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ หรือพวกเรื่องลี้ลับ แต่ผมคิดว่านรสิงห์มีพลังจิตที่แข็งแกร่ง...เหมือนนักมายากล เล่นกับภาพลวงตา ทำให้พวกคุณมึนงง ส่วนเรื่องที่พวกคุณฝันอาจจะเป็นการอุปาทานหมู่” พัทธ์สรุป
    
    “อย่ารวมวิกกี้เข้าไปด้วยค่ะ รับรองว่าคนอย่างวิกกี้ไม่มีวันร่วมวงอุปาทานหมู่ จิตวิกกี้แข็งกว่านั้นเยอะ”
    
    “ใช่ครับ...อันนี้ผมเห็นด้วย ไม่ใช่จิตคุณวิกอย่างเดียวที่แข็งโป๊ก ทั้งนิสัย หน้าตา ผมว่าแข็งระดับคานทองไม่มีวันพังลงมา ชัวร์ !!!”
    
    ไผ่แหย่ วิวหัวเราะขำ วิกกี้จ้องไผ่กับวิวแบบคู่อามาต
    
    “ขำมากมั้ยคะ”
    
    “มากครับ” ไผ่ล้อ ๆ
    
    “ดีค่ะ รีบขำนะคะ เผื่อจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ได้หัวเราะ”
    
    “เกล้าว่าเรากลับมาเรื่องคุณนรสิงห์มั้ยคะ”
    
    รัดเกล้ารีบเอ่ยขึ้น ท่าทางอ่อนโยน เหมือนน้ำเย็นที่มาดับไฟความโมโหของทุกคนที่สาดใส่กัน
    
    “คุณนรสิงห์คงไม่ได้มาทำลายชีวิตใคร เกล้ารู้สึกว่าคุณนรสิงห์คงมีอะไรอยากที่จะบอกเรา เพียงแต่ว่าจะพูดออกมาทั้งหมดเลยไม่ได้”
    
    “ใช่ครับ ผมว่า ... คุณนรสิงห์พยายามจะเชื่อมโยงพวกเราไว้ด้วยกัน เพื่ออะไรสักอย่าง”
    
    “บางทีนรสิงห์อาจจะโผล่มาในคดีนี้...เพื่อเบนความสนใจของเราจากฆาตกรตัวจริง”
    
    “เพราะผู้กองเชื่อว่าฆาตกรคือผู้ชายน่ะสิ ทั้ง ๆ ที่...”
    
    “ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรบอกว่าจะเป็นผู้หญิงอย่างสิริรัตน์ คุณจะปักใจหลงเชื่อคำพูดของนรสิงห์ก็ได้นะคุณวิก แต่ช่วยหาข้อพิสูจน์มาให้ผมด้วย ว่า..สิริรัตน์คือ คนที่กล้าเหนี่ยวไกยิงในระยะเผาขน แล้วก็จัดการเก็บกวาดหลักฐานหมดจดได้ระดับมืออาชีพ”
     
    ทุกคนมองไผ่ที่เอ่ยด้วยความมั่นใจว่าสิริรัตน์ไม่ใช่ฆาตกร....พัทธ์ทำหน้าครุ่นคิด แล้วสรุปออกมา
    
    “วิธียิง วิธีจัดการกับศพ ไม่น่าจะเป็นฝีมือผู้หญิง ผมเห็นด้วยกับผู้กองไผ่นะ”
    
    “ทำไมคะ...ผู้หญิงนี่ต้องเลิ่กลั่ก ลนลาน จะวางแผนฆ่าคนแบบเรียบกริบ ไร้ร่องรอยไม่ได้เลยหรือคะ”
    
    “คือถ้าเป็นผู้หญิงอย่างคุณนะครับ ผมว่าทำได้และสุดยอดด้วย...เพราะความเลือดเย็นของเจ๊วิกมันอยู่ในทุกอณูขุมขน ตรงดิ่งออกจากหัวใจและสายตา พร้อมจะเชือดอย่างไม่ปรานี” ไผ่กัดวิกกี้
     
    “ดีค่ะ เอาไว้ถ้าฉันอยากลองเชือดรอบหน้า ขอยืมร่างผู้กองหน่อยนะคะ”
    
    “ถ้าถึงกับต้องพลีร่าง ผมขอเสนอ.. วิวก่อนเลยครับ ตอนควักหัวใจวิวก็เบา ๆ มือหน่อยนะครับ แค่นี้มันก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว”
     
    วิวแกล้งจับอกรับลูกทันที
    
    “โอ๊ยยย ...ถ้าเป็นเจ๊ ถึงเจ็บก็พอใจ เจ็บเท่าไหร่ไม่รู้จักจำ เจ็บจนหัวใจคะมำ ยอมให้ขยำแรง ๆ”
     
    วิกกี้ตวัดสายตาค้อน
    
    “ฉันไม่ขยำให้เสียมือหรอกวิว แค่เข็มเล่มเดียวแทงเข้าลูกตา รอดูจนกว่าจะขาดใจตาย น่าจะเพลินกว่าเยอะ”
    
    วิกกี้พูดด้วยเสียงเรียบ แต่จริงจัง จนทุกคนเงียบ บรรยากาศกลับมาซีเรียสอีกครั้ง 
    
    “เกล้าว่า เรามีทั้ง 2 ทฤษฎีที่เป็นไปได้ค่ะ ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ลงมือได้ดีพอ ๆ กัน เพราะในคฤหาสน์หรูหรา สวยงาม อาจจะซ่อนจิตใจที่อำมหิตที่สุดอยู่ก็ได้...” รัดเกล้าเอ่ยขึ้นคลายบรรยากาศ
    
    “เมื่อคนที่รวยที่สุดถูกฆ่า ประเด็นที่เราต้องพุ่งไปก่อนเป็นอันดับแรก ...เงิน มรดก ผลประโยชน์ ผมเชื่อว่าฆาตกรยังอยู่ในบ้านหลังนั้น ไม่ว่าเป็นใคร เราต้องลากตัวออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยของคนที่เหลือ” พัทธ์สรุป
    
    “เชื่อมือวิกกี้นะคะ” วิกกี้ประจบอย่างมั่นใจ
    
    “หวังว่าคงไม่ต้องให้คุณนรสิงห์ขา...มาเข้าฝันชี้ตัวฆาตกรให้”ไผ่ท้าทายวิกกี้ด้วยสายตา
     
    วิวทำหน้าสยองว่าวิกกี้จะระเบิดแน่ แต่ผิดคาดวิกกี้คลี่ยิ้มออกทีละน้อย แต่เป็นยิ้มที่เชือดเฉือน
    
    “วิกกี้ขอรับคำท้าของผู้กองไผ่ค่ะ ไม่ใช่เพราะความดันทุรัง หรือกลัวเสียหน้า แต่วิกกี้มั่นใจในสายตาและความสามารถของตัวเองว่าไม่เคยดูคนผิด ใครเก่งแท้ เก่งเทียม หรือดีแต่อวดเก่ง วิกกี้ขอพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นกันชัด ๆ จากคดีนี้”
    
    วิกกี้หยุดสายตาที่ไผ่ แบบคู่อาฆาต แล้วสะบัดสายตากลับมา หยิบแฟ้ม หันหลังเดินตัวตรงออกไป
     
    คืนนั้นขณะที่รัดเกล้าอยู่บ้านลำพังคนเดียว เพราะวิกกี้ยังทำงานไม่เสร็จ...จู่ ๆ นรสิงห์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วสะกดจิตของรัดเกล้าเอาไว้ เพื่อให้เธอมองเหตุการณ์ต่อเนื่อง...หลังจากที่ติสสาถูกมนต์ดำครอบงำ จนไปปรากฏตัวที่ตำหนักเจ้านางอินยา
    
    “มาหาตอนนี้ ...คงเป็นธุระสำคัญมาก” เจ้านางอินยาถามเหมือนไม่ใส่ใจต้องการคำตอบ แต่ยิ่งทำให้หัวใจติสสากระวนกระวายด้วยอำนาจแห่งมนต์ดำ
    
    “ข้าไม่มีธุระ”
    
    “งั้นเจ้าก็จงรีบกลับไปก่อนข้าจะเรียกทหารมาลากตัวเจ้า นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าสมควรจะมายืนต่อหน้าข้า ตรงนี้..ที่นี่..”
    
    “ให้พวกมันมา...ต่อให้ทหารทั้งวัง ก็ไม่มีทางเอาตัวข้าไปจากภาพเจ้านางผู้งดงาม... งามเป็นหนึ่ง ยิ่งกว่าหญิงทั้งหมดของศรีพิสยา”
     
    เจ้านางอินยาหัวเราะเสียงขบขัน เต็มไปด้วยจริตแห่งหญิง
    
    “จะให้ข้าเชื่อ หรือว่าเจ้าพูดจากใจ... ในเมื่อวันก่อนเจ้ายังเห็นข้าเป็นเจ้านางผู้โหดเหี้ยม”
    
    “ข้าเองที่โง่เง่า ดวงตามืดบอด มองไม่เห็นความดีของเจ้านาง”
    
    “แล้ววันนี้เจ้าเห็นแล้วหรือ ติสสา”
    
    “ข้าเห็นแล้ว...ตรงหน้าข้าคือเจ้านางอินยาผู้งดงาม สูงส่ง...โปรดให้อภัยหัวใจที่โง่เขลาดวงนี้ด้วยเถิด”
     
    ว่าแล้วเจ้านางอินยายื่นมือไป ติสสาแตะมือเจ้านางอินยาแผ่วเบา
     
    “แน่ใจหรือ ติสสาว่า นี่คือสิ่งที่ออกมาจากใจนักรบอย่างเจ้า”
    
    เจ้านางอินยาทำเป็นเลื่อนมือจะดึงออก ติสสารวบไว้แล้วจูบลงที่มือแผ่วเบา เจ้านางอินยามองยิ้มสมใจ
    
    “ข้าพูดด้วยหัวใจ”
     
    ติสสากุมมือเจ้านางอินยา แล้วเลื่อนตัวขึ้นมาบนเตียง เจ้านางอินยาทำเป็นเลื่อนกายหนี ติสสาตามมาใกล้ทันที มองดวงตาเจ้านางอินยาเหมือนจะกลืนกินไปทั้งร่าง ติสสากุมมือเจ้านางอินยาวางลงที่อก
    
    “ได้ยินหัวใจข้าไหม เจ้านาง”
    
    “มีข้าอยู่ในใจเจ้าหรือ ติสสา”
     
    เจ้านางอินยามอง เห็นติสสาแววตาระยับไปด้วยความปรารถนา
    
    “เจ้านางไม่เพียงอยู่ในใจ เจ้านางคือผู้ครอบครองทั้งหัวใจ...ขอให้เจ้านางได้รู้ว่า หัวใจ ติสสาเป็นของเจ้านางอินยา”
     
    เจ้านางอินยายิ้ม เลื่อนมือไล้หน้าของติสสาแผ่วเบา แววตาเต็มไปด้วยความปรารถนารุนแรง
    
    “เจ้าจะเป็นของข้า ติสสา... ของข้าคนเดียว นับตั้งแต่วินาทีนี้”
    
    เช้าวันต่อมา สีหสาเป็นตัวแทนนรสิงห์นำเครื่องบรรณาการมามอบให้กับเจ้าปรันมา แต่ไม่มีใครเห็นเงาของติสสา
    
    เจ้าปรันมานึกแปลกใจที่ติสสาละทิ้งหน้าที่ในวันสำคัญเช่นนี้ จึงให้ทหารคนสนิทออกมาตามหา มรันมาจึงรีบไปที่บ่อมรกตที่เคยไปกับติสสา แล้วเธอก็เห็นติสสาลอยเรือพลอดรักอยู่กับเจ้านางอินยา
    
    มรันมาทั้งตกใจและผิดหวัง รีบหันหลังวิ่งร้องไห้กลับออกมาอย่างเสียใจ พบกับเจ้าปันแสงยืนเยาะเย้ยอยู่
    
    “ติสสา เจ้านางอินยา แม่ของข้า...เป็นไปได้หรือนี่ ข้านึกไม่ถึง”
     
    เจ้าปันแสงย่อตัวลงเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตา มรันมาจะหันหน้าหนี แต่มือเจ้าปันแสงบีบคาง มรันมาไว้แน่นเหมือนคีมเหล็ก มรันมาจำต้องมองหน้าปันแสง
    
    “อย่าร้องไห้ไปเลย มรันมา ต่อให้น้ำตาเจ้าเป็นสายเลือด ติสสาคนรักของเจ้าก็ไม่มีวันกลับมา...อ้อมอกติสสาก็กลายเป็นที่พักพิงของเจ้านางอินยาไปแล้ว”
    
    “พี่ชายเป็นคนจิตใจมั่นคง”
    
    “น่าสงสารเจ้าเหลือเกิน ...ทั้งน่าสงสาร น่าเวทนา”
    
    เจ้าปันแสงเลื่อนมือมาประคองแก้มมรันมาไว้ แววตาช่างดูปรานี
    
    “ข้าเคยเตือนแล้ว...ทาสอย่างเจ้ามันก็เป็นได้เพียงของเล่น ...พอหมดความหอมหวาน ... ใครจะไยดี”
    
    “ไม่จริง พี่ชายรักข้า” มรันมาเถียง
    
    “รัก. .. รักทาสอย่างเจ้าแล้วได้อะไร อ้อ..ตำแหน่งสามีน้องนางคนใหม่”
    
    “พี่ชายรักข้าจากใจจริง”
    
    “ความรัก...ความจริงใจ ช่างฟังอ่อนหวาน ปลอบประโลมหัวใจเพ้อฝัน ใฝ่สูง...คนอย่างติสสา แข็งแกร่ง ฉลาด ที่เค้าดีกับเจ้า ไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะรู้ว่าสายเลือดครึ่งนึงของเจ้ามาจากเจ้าศรีพิสยา...แต่เมื่อไม่มีอะไรมาล้างมลทินของอเลยาแม่เจ้าที่ลักลอบคบชายชู้ ตำแหน่งน้องนางแห่งศรีพิสยาก็ห่างไกลออกไปทุกที...แล้วคนฉลาดอย่างติสสาจะรักเจ้า ทำดีกับเจ้าต่อไปเพื่ออะไร” มรันมาสะอื้นเมื่อถูกจี้จุดมืดดำที่สุดของชีวิต
    
    “สู้ทำตามหัวใจตัวเองไม่ดีกว่าหรือ”
    
    “ข้าไม่เชื่อท่าน พี่ชายรักข้า...พี่ชายเกลียดเจ้านางอินยา”
    
    “คงเกลียดมากสินะ... เกลียดจนต้องปิดห้อง ลงโทษกันสองต่อสองทั้งคืน”
    
    “ท่านโกหก เจ้าปันแสง ท่านกำลังหลอกข้า”
    
    “ข้าไม่เคยเป็นคนดีในสายตาใครอยู่แล้ว ไม่เป็นไร มรันมา ถ้าเจ้าอยากเห็นความจริงที่ข้าพูด ก็ไปถามคนรักของเจ้า ว่าเมื่อคืนติสสาอยู่ที่ไหน ...ในเรือนตัวเองหรือห้องนอนเจ้านางอินยา”
    
    พูดจบเจ้าปันแสงมองมรันมา สายตาสะใจ แล้วเดินออกไป มรันมาสะอื้นออกมาอย่างเจ็บปวด
    
    “ไม่จริง...พี่ชายรักข้า พี่ชายเกลียดเจ้านางอินยา”
    
    ในที่สุดมรันมาก็ตัดสินใจไปตามติสสาที่ตำหนักเจ้านางอินยา...เมื่อร้องเรียกติสสาก็เหมือนจะคืนสติมาได้อีกครั้ง แต่ก็ถูกเจ้านางอินยารั้งตัวไว้ให้พัวพันจนกระทั่งตกอยู่ในมนต์สะกด มรันมาเห็นภาพพลอดรักของคนทั้งสอง ก็ยิ่งแน่ใจว่าเจ้าปันแสงพูดถูก จึงหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน และยอมให้คนของเจ้านางอินยาจับโยนออกมาจากตำหนักแต่โดยดี
    
    แต่เมื่อเจ้าปรันมารู้เข้า ก็เป็นฝ่ายเดินทางมาพบติสสาที่ตำหนักเจ้านางอินยาด้วยตัวเอง จ้องมองติสสานิ่งอย่างไม่เชื่อสายตา
    
    “เจ้ามัวมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ติสสา”
    
    “ข้ามาหาเจ้านาง”
    
    “มาหาเรื่องอะไร รู้หรือไม่ว่าทุกคนแทบจะพลิกแผ่นดินหาตัวเจ้า”
     
    ติสสารู้ว่าไม่ควรตอบออกไป ได้แต่ก้มหน้ารับฟัง เจ้านางอินยาเอ่ยขึ้นเองอย่างไม่สะทกสะท้านกับความโกรธของเจ้าปรันมา
    
    “ข้าเองที่มีเรื่องจะถามติสสา”
    
    “ท่านน่ะหรือ เจ้านาง มีเรื่องอะไรที่ต้องเรียกหาแม่ทัพของข้า”
    
    “อย่าคิดว่าเจ้าห่วงบ้านเมืองได้คนเดียว ติสสาเป็นแม่ทัพของศรีพิสยา ถ้าเจ้านางจะถามเรื่องกิจการบ้านเมืองจากแม่ทัพ มันผิดกฎข้อไหน”
    
    “เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ท่านจะมาแสดงความห่วงใยบ้านเมือง เพราะข้าต้องการตัวติสสาไปทำหน้าที่ที่สำคัญกว่ามาให้คำปรึกษาแก่เจ้านางถึงในตำหนัก”
    
    เจ้าปรันมาพูดพลางมองติสสาด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ต้องเก็บคำต่อว่าทั้งหมดไว้ก่อน เอ่ยสั่งเรื่องที่สำคัญที่สุด
    
    “ข้าจะออกไปเจรจาศึกกับนรสิงห์”
    
    เสียงปรันมาที่เป็นเสมือนอำนาจแห่งธรรม คุณความดีดังเรียกสติติสสากลับคืนมา
    
    “ขอให้ข้านำทหารออกไปกับท่าน”
    
    “มันเป็นหน้าที่ทหารกล้าอย่างเจ้า ติสสา ทหารที่จะสละเลือดเนื้อเพื่อรักษาทุกตารางนิ้วของแผ่นดิน”   

                             


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

 
แชร์บทความ...
โค้ดแบบ forum
(BBCode)
โค้ดแบบ site/blog
(HTML)