แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - RobotNew

หน้า: 1 ... 225 226 [227] 228
3391

 กำลังไปได้สวยทีเดียวสำหรับสาว บี-น้ำทิพย์ จงรัชตะวิบูลย์ กับธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ที่จับมือกับเพื่อนซี้ โย-ยศวดี หัสดีวิจิตร ภายใต้แบรนด์ “โย แอนด์ บี ไดเอ็ท ฟู้ด เดลิเวอร์รี่”  งานนี้บีอัพเดทให้ฟังว่าจับธุรกิจนี้มาเกือบ 9 สัปดาห์แล้ว ก็กำลังแพลนเปิดหน้าร้านกันอยู่ ส่วนเรื่องความรักตอนนี้ก็มีคนคุย ๆ แต่ยังไม่มีใครมาวิน เพราะเจ้าตัวอยากใช้เวลาดูไปเรื่อย ๆ แต่ยังไงกับคนที่ชื่อว่า ฮิม-อิสริยะ คูหาเปรมกิจ คงเป็นได้แค่เพื่อนจะดีที่สุด
    
    บี เผยว่า “เรื่องธุรกิจดีมากเลยค่ะ แฮปปี้ มีคนสนใจเยอะมาก มีลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ ส่วนเรื่องรายได้ขอเก็บเป็นความลับนิดนึง คือธุรกิจมันเริ่มจะลงตัว ส่วนจะเปิดเป็นร้านเลยมั้ย ก็คิด ๆ อยู่ค่ะ ยังอยู่ในช่วงการแพลน แต่ตอนนี้เราอยากจะดูแลลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ให้ดี ส่งอาหารที่มีคุณภาพให้ทาน ซึ่งแต่ละสูตรบีคิดเองด้วย ก็ช่วยกันคิดหลาย ๆ คน แต่ก็เป็นอาหารที่เฮลท์ตี้มาก ๆ ส่วนสูตรใหม่ ๆ เราก็มีเรื่อย ๆ นะคะ เมนูเราจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เปิดธุรกิจนี้มาก็เข้าสัปดาห์ที่ 9 แล้ว ส่วนธุรกิจเราโตเร็วเหมือนกัน จนคนคิดว่าเราจะมาเอาดีทางด้านนี้มั้ย คือคนสนใจเยอะ บีว่าด้วยสมัยนี้มันเร่งรีบ จะหาทานที่มันมีประโยชน์จริง ๆ คนอาจจะขี้เกียจ หรืออยู่บ้านไม่อยากออกไปซื้ออาหาร ก็สั่งออร์เดอร์ของเรา รับรองส่งถึงที่ อร่อยจริง ๆ คอนเฟิร์มค่ะ”
    
    ธุรกิจรุ่งอย่างนี้เลยต้องถามถึงความรักซะหน่อย ซึ่งบี เผยถึงเรื่องความรักว่า “ไม่รุ่งเลย (หัวเราะ) ตอบไม่ถูกเลย ตอนนี้ก็เรื่อย ๆ ถามว่ามีคนเข้ามาคุยมั้ย ก็มีแน่นอน แต่ดูไปเรื่อย ๆ ถามว่าที่คุยคนเดิมมั้ย คนเดิมเป็นเพื่อนค่ะ ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิม บีมีเพื่อนเพิ่มเยอะ ยังไม่มีคนพิเศษ ส่วนมีที่สนิทสุดมั้ย ก็ยังไม่มี กับฮิมคบมาขนาดนี้แล้วก็ไม่มีโอกาสพัฒนา อยู่ได้แค่นี้ ส่วนทำไมถึงให้เขาได้แค่เพื่อน คือรู้สึกว่าเขาอยู่ในฐานะเพื่อนน่าจะดีกว่า เป็นเพื่อนตั้งแต่แรก ณ ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นเพื่อน แต่ถามว่าเจอกันมั้ย คุยกันมั้ย ก็คุยกันปกติทุกอย่าง ทุกวันนี้ก็ยังคุยกันอยู่ ตอนนี้ก็มีบ้างคนที่เข้าตา แต่ต้องใช้เวลาดูไปเรื่อย ๆ มากกว่า ยังไม่อยากรีบ เพราะเราเป็นผู้หญิง แล้วเราอยู่ในวงการ ข่าวพวกนี้เกิดขึ้น มันมาไวไปไว คนที่เสียคือผู้หญิง ผู้ชายมีแต่ได้กับได้ บีรู้สึกว่าบีพร้อมเมื่อไหร่ บีจะเปิดตัว เปิดตัวอีกทีอาจจะแต่งงานเลยก็ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ ถามว่าเราเปิดใจศึกษาทุกคนมั้ย คือเปิดใจคุยกับทุกคนเป็นเพื่อน ต้องบอกก่อนเลยว่าเป็นเพื่อนดีที่สุดตอนนี้ เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนที่ชนะใจเราค่ะ”.   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3392

 เรียกว่ากำลังคิวฮอตเลยทีเดียว สำหรับหนุ่ม นิว-ชัยพล พูพาร์ทล่าสุดเลยโดนข่าวเมาท์ว่า คุณบอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ ไม่พอใจที่ หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล กั๊กคิวนักแสดงหนุ่ม ไม่ยอมให้ไปเล่นละครให้กับค่ายเอ็กแซ็กท์บ้าง ล่าสุดนิวมาเข้าฉากเรื่อง “เรือนเสน่หา” ที่เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ เลยต้องให้เจ้าตัวเคลียร์สักหน่อย
    
    นิว เผยว่า “คงไม่ได้มีอะไร ตอนนี้ก็เล่นกับเอ็กแซ็กท์ เรื่องคิวไม่มีปัญหา เพราะส่วนตัวผมเป็นนักแสดงภายใต้สังกัดเอ็กแซ็กท์ พี่ที่ดูคิวผมก็เป็นพี่ในเอ็กแซ็กท์ ซึ่งเขาถือคิวของผมทั้งหมด เรื่องคิวเลยไม่มีปัญหากันอยู่แล้ว ถามว่าทราบข่าวนี้มาก่อนมั้ย ก็ได้ทราบวันที่มีงานของสหมงคลฟิล์ม แต่ผมติดถ่ายรายการ “ชิงร้อยชิงล้านฯ” ก็มีคนมาถามผมว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น แต่จริง ๆ ไม่มีอะไร ส่วนหม่อมน้อยมีสิทธิในเรื่องคิวงานของเรามั้ย ก็คงไม่ได้มีสิทธิมากกว่าคนอื่น ถ้าจะเป็นงานของหม่อมก็มีการวางคิวล่วงหน้าค่อนข้างมาก ก็คุยกันตลอดเวลาทั้งผู้ช่วยของหม่อม และพี่ที่ดูแลคิวของผม แต่คิวหลัก ๆ ก็ให้เอ็กแซ็กท์ก่อน ทุกงานก็ต้องติดต่อผ่านเอ็กแซ็กท์ครับ รวมถึงหนังด้วย”
    
    ข่าวนี้กลัวมีปัญหากับผู้ใหญ่มั้ย? “ไม่ได้กลัว ปกติเราเจอหม่อมเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ไปบ้านหม่อม ได้คุยกันหม่อมก็ยังตลกอยู่เลย พี่บอยก็โทรฯหาหม่อมเหมือนกันว่ามีข่าวนี้นะ ก็ตลก ๆ ขำ ๆ ไป ไม่ได้ซีเรียสอะไรกัน ส่วนตัวผมก็ไม่ได้ซีเรียส เพราะเรารู้ข่าวก็ได้เจอกันวันนั้นเลย” เห็นว่าจะมีหนังใหม่ เรื่องอะไร? “เพิ่งถ่าย “เธอเขาเราผี” เสร็จ เป็นหนังแนวโรแมนติกคอมเมดี้ น่ารักระหว่างคน 2 คนแล้วก็มีผีมาอีก 1 ตน ก็เป็นโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องแรกครับ เป็นหนังที่ตัวเองอยากเล่น เพราะชอบดูภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้อยู่แล้ว
    ก็ดีใจมาก ไปกองสนุกทุกวัน กลางปีนี้น่าจะได้เห็นกัน และยังมีหนังอีกเรื่องครับ เป็นของหม่อมน้อยครับ”.   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3393

 หลังจากที่บวชเรียนอยู่สักพัก ล่าสุดนักร้องหนุ่ม ว่าน-ธนกฤต พานิชวิทย์ ก็สึกแล้ว งานนี้หวานใจอย่างสาว พิม-พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร เผยให้ฟังว่าหลังบวชเรียนหนุ่มว่านก็ดูสงบขึ้น นอกจากนี้ทั้งคู่ยังได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น เติมความหวานกันมาด้วย แต่เรื่องการเบียดหลังบวช สาวพิมบอกว่ายังไม่คิด เพราะอยากให้พร้อมจริง ๆ ก่อน
    
    พิม เผยว่า “เขาสึกมา 1 อาทิตย์แล้ว สงบนิ่งดีค่ะ สังเกตได้ชัดว่านิ่งกว่าแต่ก่อนเยอะ ตอนที่บวชเขาตั้งใจจริงมาก แล้วก็ได้ไปอยู่ที่สวนโมกข์ 10 วัน ค่อนข้างเข้าถึงคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา แต่ยังไม่ถึงกับว่าเอาธรรมะมาสอนพิม แค่เวลาจะทำอะไรเขาดูมีสติมากขึ้น ขอให้เป็นแบบนี้ไปได้นาน ๆ เพราะบางอย่างมันคงเอามาใช้กับชีวิตประจำวันทั้งหมดไม่ได้” เห็นว่าหลังสึกมีไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน? “ใช่ค่ะ ไปมา 1 อาทิตย์ จริง ๆ จองตั๋วกันไว้ก่อนที่จะมีโปรแกรมบวช พอมีโปรแกรมบวชมา ก็ยังถามอยู่ว่าสึกแล้วยังจะไปอยู่ไหมหรือจะเลื่อนออกไปก่อน เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร ไปได้ บอกตรง ๆ ว่าวันแรกที่ไปเกร็งมาก ทำตัวไม่ถูก เพราะพอสึกมาปุ๊บก็ไปวันรุ่งขึ้นเลย ไม่รู้จะคุยยังไง แต่เขาก็เล่าเรื่องว่าไปบวชมาเจออะไรบ้าง ถามว่าสวีทไหม ปกติเลยค่ะ เหมือนไปเที่ยวกันเอง พิมมีเพื่อนอยู่ที่โน่นด้วยก็เหมือนไปจอยกัน จริง ๆ พิมกับว่านรู้จักกันมาสักพักแล้วยังไม่เคยไปเที่ยวไหนด้วยกันจริงจังเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกแล้วก็ไปหลายวัน ทริปนี้จะเน้นกินมาก น้ำหนักพุ่งกันเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไร เพราะไปถึงญี่ปุ่นแล้วก็ต้องกินค่ะ ส่วนแพลนไปเที่ยวที่อื่นเดี๋ยวคงต้องให้เขาลุยทำงานที่ค้างไว้ก่อน ต่างคนก็ต่างลุยทำงาน ถามว่าว่านบวชแล้วมีแพลนใกล้จะเบียดหรือยัง ก็ยังค่ะ เรื่องพวกนี้ยังไม่เคยคุยกันขนาดนั้น ตอนนี้ทุกคนต้องทำงานก่อนดีกว่า เอาไว้ถ้ามันถึงเวลาที่พร้อมจริง ๆ แล้วยังเป็นแบบเดิมอยู่ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็คงเป็นไปตามสเต็ปของมัน”.   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3394

 “ขอบคุณป๊ากับเฮียที่ช่วยส่งเสริม ผมขอให้ปิดความสัมพันธ์ของเราเป็นความลับต่อไป... จนกว่า ผมจะได้ในสิ่งที่ควรจะเป็นของผมมาตั้งแต่แรกอย่างสมบูรณ์”
     
    “ไม่ต้องห่วง เราพี่น้องกัน อยากให้ช่วยอะไรอีกก็บอก”
     
    “ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อทำลายพวกมัน... ยังมีเรื่องให้เฮียช่วยอีกหลายเรื่อง”
     
    “ได้เสมอ...เอ้าชน เพื่อสิ่งที่ควรจะเป็นของลื้อและเพื่อกำไรของอั๊ว”
     
    ทั้งสองชนแก้วกัน ในหัวของพิทยาเต็มไปด้วยแผนการคุมกิจการและกำจัดพิแสงต่อลาภทำเจ้าชู้กรุ้มกริ่มพยายามลวนลามเขมมิก แต่เธอไว้ตัวไม่เล่นด้วย หลอดกับเสริมเห็นก็เข้าไปขวางไว้...เวลาเดียวกัน อนงค์ทำเป็นแกล้งป่วยเพื่อให้พิแสงเห็นใจ เพื่อที่เขาจะได้มีเวลาอยู่ใกล้ชิดกับวาศินีบ่อยขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า พิแสงรู้สึกสงสาร จึงแนะนำให้อนงค์ออกจากงานมาพักผ่อนอยู่กับบ้าน อนงค์ถึงกับอึ้ง ช็อก ไม่ทันจะโวยวายอะไร หลอดกับเสริมก็เข้ามาลากตัวเขาออกไป วาศินีแอบตามมาฟังด้วยความอยากรู้
     
    “นายต่อลาภเนี่ยนะลวนลามเขมมิก”
     
    พิแสงฟังเรื่องจากหลอดกับเสริมก็ตกใจหลอดกับเสริมยืนยัน
     
    “พวกเราเห็นชัด ๆ คาตาว่าไอ้ลาบก้อยนั่นมันฉุดแขนฉุดมือคุณเขม” หลอดบอก
     
    “แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณเขมถึงได้ปฏิเสธ ว่า มันไม่ใช่” เสริมว่า
     
    “เพราะไม่อยากให้ใครรู้น่ะสิ...ว่าอ่อย...แล้วตอนนี้เขมมิกอยู่ไหน” พิแสงหึง
     
    หลอดกับเสริมอึ้งเพราะนึกขึ้นได้ว่าเอาเขมมิกไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล เพราะเธอไปเยี่ยมลุงแก้ว
    
    “ลืมเขมมิกไว้ที่ไหนอีกแล้ว...ไอ้หลอด ไอ้เสริม พรั่นพรือหลาว หา!!” วาศินีไม่พอใจที่พิแสงดูจะเป็นห่วงเขมมิก มาก และที่สำคัญทำเจ้าชู้กับเขมมิกด้วย
     
    ด้านสาวิกาอึดอัดใจที่แม่พยายามจับคู่เธอกับพิแสง เธอจึงตัดสินใจมาทำงานกับที่รีสอร์ทของ กนธี ทำให้สร้อยเพชรร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเป็นห่วงลูก สาวิการู้สึกเบื่อหน่ายกับท่าทางของแม่จึงหลบมาคุยกับพิศินี พอดีพิทยาโทรฯมาบอกให้เธอเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางไปหาดใหญ่ ทำเอาพิศินีนึกถึงคำพูดของพ่อแม่ที่คุยกับเธอตอนกลับจากพัทลุงคราวก่อน
    
    “เราไม่ได้บอกตาพีทใช่มั้ย เรื่องยัยเขมมิก อยู่ที่ฟาร์มของตาใหญ่”
     
    “คุณก็...ยัยศินีจะพูดทำม้ายยยยให้บ้านแตก” พิสุทธิ์ว่า
     
    “ก็ไม่แน่...เพราะลูกเราเป็นคนประเภทผู้หญิงโลกสวย คิดว่าความจริงใจจะเอาชนะทุกอย่างได้ แต่แม่จะบอกอะไรให้นะ...ความจริงใจแพ้ทางความไม่รู้จักพอของคนเสมอ”
     
    “ตาพีทเค้าพอแล้ว เค้าหยุดแล้ว” พิสุทธิ์บอก
     
    “จะไปรู้เรอะ ไม่ได้ตามติดตาพีทไปตลอดเวลานี่ อาจจะหยุดไม่จริงก็ได้”
     
    “เอาเข้าไป...คุณจ๋า...เรื่องมันยังไม่เกิด เราระวังไว้ก็พอ แต่ไม่ต้องถึงกับระแวงหรอก”
     
    “ศินี...เอาไงเรา”
     
    “หนูอยากมีความสุขค่ะคุณแม่ หนูไม่พูดหรอกค่ะ”
     
    แม้ว่าพิศินีจะสลัดความคิดเรื่องนั้นออกไปจากความระแวงแล้ว แต่พอพิทยาโทรฯมาบอกว่าจะไปหาดใหญ่ ทำให้เธอเกิดระแวงขึ้นมาอีก
    
    พิแสงมารับเขมมิกที่โรงพยาบาล ท่าทางเขาหงุดหงิดหลังได้รับข้อมูลจากหลอดและเสริมที่ต่อลาภ...พอทั้งสองขึ้นมาบนรถก็เปิดฉากถกเถียงกันอย่างไม่ยอมแพ้ เขมมิกไม่พอใจที่พิแสงถามว่าเธอไปอ่อยอะไรต่อลาภ เขมมิกโกรธกัดแขนเขาอย่างแรง ด้วยความโกรธ    “เขมมิกหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
    
    “ไอ้อุด”เขมมิกพูดทั้งที่ปากยังกัดไม่ปล่อย
    
    รถของพิแสงเบี้ยวไปเบี้ยวมาเหมือนงูเลื้อย   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3395

 มีคณามาส่งสาระวารีขึ้นรถตู้ไปตราดที่หน้าตึก ขณะที่หิรัณย์ก็มาที่สยามสารเพื่อพบกับไชยวัฒน์ เพื่อคุยเรื่องงานแฟชั่นการกุศล หิรัณย์ถามถึงสาวประเภทสองที่ช่วยจับคนร้ายครั้งก่อน ไชยวัฒน์หัวเราะก๊ากก่อนจะบอกความจริงว่ามีคณาไม่ใช่กะเทย หิรัณย์ตกใจ รู้สึกผิด เพราะพูดกับมีคณาแรงไปหน่อย จึงอยากจะพบเพื่อขอโทษ
    
    ไชยวัฒน์พาหิรัณย์มาพบมีคณาแต่ไม่พบ เพราะมีคณาออกไปทำข่าวข้างนอกแล้ว ไชยวัฒน์หันไปบอกหิรัณย์ว่า จะแนะนำให้หิรัณย์รู้จักในงานแฟชั่นโชว์คืนพรุ่งนี้ และคิดว่ามีคณาคงไม่โกรธสารวัตรหิรัณย์ หลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมดและได้รับคำขอโทษจากสารวัตรแล้ว
     
    เอกชัยบอกคืนนี้จะมีพยาบาลพิเศษมาเฝ้าไข้ มัทนาคงหายอึดอัด แต่มัทนารู้สึกดีเพราะคิดว่าตวันไม่ไว้ใจเธอจึงต้องหาคนมาเฝ้า 24 ชั่วโมง เอกชัยบอกว่ามัทนาต้องเห็นใจตวัน เพราะเขาเจ็บมามากกับนักข่าว ทำให้ตวันหวาดระแวงและกันตัวเองออกมาจากทุกสิ่ง
    
    “การที่เธอเข้ามาในชีวิตของปอน เหมือนทำให้เค้าได้น้องสาวกลับคืนมาอีกครั้งรู้มั้ย” มัทนาไม่เข้าใจสิ่งที่เอกชัยพูด “ถ้าเธอสังเกตสายตาและอารมณ์ของปอนดี ๆ หลายครั้งปอนจะเผลอเอ็นดูเธอเหมือนเธอคือน้องป่าน” เอกชัยสีหน้าเศร้า ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
    
    “น้องป่านคือน้องสาวคุณปอนเหรอคะ” เอกชัยรู้ตัวว่าไม่ควรพูดมาก จึงตัดบทและชวนคุยเรื่องอื่น ยิ่งทำให้มัทนาอยากรู้เรื่องน้องป่านมาก
     
    สาระวารีมาที่ตลาดและโทรฯ บอกมีคณา ระหว่างที่กำลังคุยอยู่นั้น สาระวารีไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกถ่ายรูปจากคนในรถคันหรูที่เธอเดินผ่าน คนขับรถหันไปส่งโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายรูปไว้ให้เจ้านายที่นั่งหลัง ผู้ชายใส่สูทหล่อเนี้ยบอยู่หลังรถ คือษมานั่นเอง ษมายกโทรศัพท์มือถือขึ้นเช็กดูรูป หน้านิ่งขรึม ก่อนจะยกหูคุยโทรศัพท์พักหนึ่งและส่งรูปสาระวารีไปให้คนที่เขาคุยด้วย เพื่อคอนเฟิร์มว่าไม่ผิดคน
     
    สาระวารีนั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านข้างทาง ษมาเดินเข้ามาขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยโดยอ้างว่าโต๊ะอื่นเลอะ สาระวารีหยิบเป้ไปวางที่เก้าอี้ข้าง ๆ แล้วนั่งกินต่อ ประมาณว่าไม่ให้นั่ง ษมาพูดต่อว่ากลาย ๆ ว่าไม่มีน้ำใจก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะข้าง ๆ
    
    “เราเคยเจอกันมาก่อนมั้ยครับ”
    
    สาระวารีชะงักไป หันมาจ้องหน้าแล้ววางตะเกียบอย่างแรง “ก็เพราะฉันเจอมุกจีบสะเหล่อ ๆ แบบนี้ประจำไงคะ ฉันถึงต้องแล้งน้ำใจ”
    
    “แน่ใจนะครับว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อนจริง ๆ” ษมาบอกหน้าตาย สาระวารีเสียงเข้ม เอาเรื่อง “ไม่เคย” คนในร้านหันมอง...ษมาทำหน้านิ่ง ไม่สะทกสะท้านอะไร สาระวารีรำคาญเรียกเก็บเงินแต่ให้เก็บที่ษมาและเดินหน้าหงิกออกจากร้านไป ษมากดโทรศัพท์มือถือโทรฯ ออก สีหน้านิ่งขรึมมองตามสาระวารีไป “เจอตัวแล้ว เอาเรื่องใช้ได้...เธอจำผมไม่ได้เลย”
     
    สาระวารีเดินคุยมือถือกับมีคณาเข้ามาในโรงแรมที่พัก โดยไม่ได้สังเกตว่า ษมายืนมองตนเองอยู่ ก่อนที่สาระวารีจะเดินเข้าลิฟต์ไป ผู้จัดการโรงแรมเห็นษมายืนอยู่ก็ปรี่เข้ามาทักทายและเชิญไปนั่งพักที่ห้องรับรอง
    
    หลังจากนอนพักเอาแรงไปงีบหนึ่ง สาระวารีอาบน้ำแต่งตัวดูทะมัดทะแมง เตรียมพร้อมอุปกรณ์เพื่อสัมภาษณ์ สาระวารีกดเรียกลิฟต์ สักพักมีผู้ชายคนหนึ่งเบี่ยงตัวเข้ามาและกดลิฟต์ซ้ำ สาระวารีบ่นพึมพำว่าจะกดซ้ำทำไม ผู้ชายคนนั้นหันมาพบว่าเป็นษมานั่นเอง
    
    ษมาทำเป็นแปลกใจที่เจอสาระวารี “อ้าว คุณ พักที่เดียวกันเหรอครับเนี่ย”
    
    สาระวารีชักสีหน้าเซ็งใส่ “คิดว่าจะย้ายเร็ว ๆ นี้ล่ะ...ซวยจริง ๆ” ตอนท้ายบ่นเบา ๆ ลิฟต์เปิด สาระวารีรีบเดินนำเข้าไป หันหน้าเข้ามุมลิฟต์ไปเลย ไม่อยากสนทนา ษมาอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนเดินตามเข้าไปยืนข้าง ๆ สาระวารี สาระวารีหันหน้าไปอีกทาง รำคาญ ๆ
    
    “ออกไปหาข่าวเหรอครับ”
    
    สาระวารีชะงักปนแปลกใจ หันมอง “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นนักข่าว”
    
    “ผมเคยเห็นคุณตอนดูข่าวทีวี”
    
    สาระวารีขยับตัวห่างเล็กน้อย ปากพึมพำ โรคจิตแหง ๆ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนแบบเนียน ๆ หาอุปกรณ์ป้องกันตัว ษมาชวนคุยต่อ “ผมสงสัยนะ ทำไมนักข่าวชอบยื่นเทปไปสัมภาษณ์แล้วหันหน้าหนีด้วย อายกล้องเป็นด้วยเหรอ เห็นชอบวิ่งตามเอากล้องเอาไมค์ไปจ่อหน้าจ่อปากคนอื่น นึกว่าจะชิน”
    
    “แล้วคุณจะมาดูหน้านักข่าวทำไมไม่ทราบ ไปสนใจเนื้อหาที่เค้าสัมภาษณ์สิ”
    
    “ก็เผอิญผมรู้มาว่าคนที่ผมตามหาตัวอยู่เป็นนักข่าว ก็เลยชอบสังเกต”
    
    สาระวารีมองหน้า สีหน้ากวน ๆ จะมามุกไหนอีก ฉันชักจะหมดความอดทนแล้วนะ ษมาจ้องหน้าสาระวารี ดูตาซึ้ง ๆ เป็นประกายวิบวับ “ลองคิดดูดี ๆ ว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน”
    
    สาระวารีทำท่านึกออก ษมาค่อยยิ้มออก ไม่คาดคิดสาระวารีชักมือที่แอบสวมสนับมือจากกระเป๋ากางเกงแล้ว ชกอัดเข้ากลางท้องษมาอย่างจัง สาระวารีถกแขนเสื้อ เสยผม เดินหน้าตาสะใจปนสมน้ำหน้าออกจากลิฟต์ ปล่อยให้ษมายืนตัวงอ ยกมือกุมท้องสีหน้าจุกเจ็บอยู่ในนั้น ก่อนที่ลิฟต์จะปิดสนิทไป
     
    มัทนาเล่นหมากรุกกับเอกชัย ระหว่างนั้นก็ถามเรื่องของเขตต์ตวันไปด้วย เอกชัยบอกเพียงแต่ว่าเขาและตวันเคยกินนอน ลำบากมาด้วยกัน มัทนาว่าเอกชัยคงเป็นเด็กกำพร้าที่หลวงพ่อจำรูญเอามาเลี้ยงรุ่นแรก ๆ เอกชัยถามว่ารู้เรื่องมาจากหลวงพ่อหรือ มัทนาส่ายหน้าบอกมีแหล่งข่าวคนหนึ่งบอกมา และขอให้เอกชัยเล่าชีวิตวัยเด็กของเขตต์ตวัน
    
    เอกชัยมองหน้ามัทนา ยิ้ม ๆ พร้อมสบตาไปถึงคนที่ยืนอยู่ข้างหลังมัทนาเล็กน้อย “ผมคงต้องตอบเหมือนหลวงพ่อ” คือให้ถามตวันก่อนว่าอยากเปิดเผยหรือไม่
    
    มัทนาเบ้ปาก “รู้สึกเค้าจะยิ่งใหญ่ซะเหลือเกินนะคะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้ามีอะไรดีนักหนา ทั้งหลวงพ่อทั้งคุณเอกถึงได้ปกป้องเค้ากันนัก”
    
    “มีอะไรอยากรู้ก็มาถามฉันนี่”
    
    มัทนาชะงักหันไปมองเห็นตวันยืนกอดอกพิงประตูห้องที่เปิดกว้างอยู่ ไม่รู้ว่าแอบฟังมานานแค่ไหนแล้ว “ขออภัยนะที่เข้ามาขัดความสำราญ แต่นี่ใกล้มื้อเย็นแล้วเวรทำอาหารของแก”
    
    เอกชัยยิ้ม ๆ รีบลุกจากกระดานหมากรุก “ขอบใจมากปอน นับว่าเป็นโชคดีที่แกเข้ามาขัดจังหวะ ถ้าแพ้เกมนี้ ฉันคงต้องเสียพนันให้มัทนา ถ้าฉันแพ้แล้วต้องทำตามสัญญารับรองว่านายคงไม่พอใจเท่าไหร่
    
    “พนันอะไรไว้” ตวันทำหน้าอยากรู้ “ความลับ” เอกชัยยิ้ม แอบไปยักคิ้วกับมัทนาอย่างรู้กัน ตวันเหล่ ๆ ไม่พอใจ เอกชัยจะเดินไป แต่หยุดก่อนจะหันมาถามมัทนาว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม ตวันแขวะที่เอกชัยเอาอกเอาใจมัทนาจนออกนอกหน้า
    
    มัทนาเหล่ ๆ รู้ว่าถูกแขวะรีบบอกว่าเธอเป็นคนทานง่าย ไม่ใช่คนเรื่องมากชอบหาเรื่องคนอื่น ตวันเหล่มอง เอกชัยแอบยิ้มที่ตวันถูกแขวะบ้าง
    
    “งั้นรอแป๊บเดียว ฉันจะทำมะกะโรนีที่อร่อยที่สุดในภูเก็ตให้ทาน”
    
    “ขอบคุณค่ะ มัทชอบทานมะกะโรนีที่สุดเลย” มัทนายิ้มหวานให้เอกชัย ตวันจับตามองเขม่น ๆ เอกชัยเดินออกไป มัทนามองตามเอกชัยยิ้มหวาน อารมณ์คิดประมาณใจดีจัง
    
    “ทีหลังอย่ายิ้มให้คนของฉันยังงั้นอีก” ตวันพูดเสียงแข็ง มัทนาชะงัก ยิ้มค้าง หันจ้องหน้า
    
    “คุณมีสิทธิอะไรมาสั่งห้ามฉันยิ้ม”
    
    “ก็สิทธิของเจ้าของบ้านหลังนี้น่ะสิ...จำไว้นะมัทนา ถ้าเธอยังอยู่ในบ้านของฉัน อย่าพยายามยิ้มยั่วยวนให้เอกชัย หรือคนอื่น ๆ อีก”   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3396

 อ้ายและเอื้อยหน้าเจื่อนไป เพราะยังอยากใกล้ชิดปกรณ์และอั๋น
    
    “อ้าว จะรีบไปไหนล่ะครับ ทำไมเราไม่ทัวร์ปราสาทด้วยกันเลย”
    
    “ไม่ดีหรอกค่ะ เรามากันสี่คน ก็ควรไปด้วยกันสี่คน อิ่มไม่ชอบให้มีคนนอกเข้ามายุ่มย่าม ยิ่งเป็นพวกลูกพ่อค้าวาณิช ยิ่งไม่น่าเสวนาด้วยใหญ่ อ้ายหันมามองอิ่มอย่างเอาเรื่อง แล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มหวาน “คุณปกรณ์คะ อยากดูคุกใต้ดิน แต่หนูอ้ายกลัวค่ะ พาไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ”
    
    “ยินดีครับ”
    
    “อ้อ คุณอั๋นคะ หนูเอื้อยเป็นคนกลัวความมืด ความชื้น เห็นว่าข้างล่างทั้งมืดทั้งชื้น ดูแลหนูเอื้อยให้หน่อยนะคะ”
    
    “ดะ ดะได้ครับ ทะ...ทะ...ทางนี้เลยครับหนูเอื้อย”
    
    เอื้อยไปกับอั๋น อิ่มอ้าปากค้าง
    
    “คุณชายคะ ช่วยดูแลรสาด้วยนะคะ รสาเองก็กลัวความมืด”
    
    “ไม่ต้องห่วง” ปวรรุจพารสาไป
    
    “เดี๋ยว....แล้ว...แล้วฉันล่ะ คุณปกรณ์อิ่มก็กลัวความมืดเหมือนกัน” 
    
    “ก็ไม่อยากเสวนากับเราก็ไปเองละกันนะคะ คุณอึ่ง”
    
    “ฉันชื่ออิ่ม”
    
    “ไปค่ะ คุณปกรณ์” อ้ายควงปกรณ์ไป อิ่มอยากร้องกรี๊ด
                      
    ทั้งหมดลงมาที่โถงใหญ่คุกใต้ดิน  บรรยา กาศทะมึนน่ากลัว สาว ๆ เบียดชิดกับหนุ่มทั้งสามมีเพียงอิ่มที่เดินหน้างออยู่ลำพัง  อากาศเย็นยะเยียบมากขึ้น เสียงนักท่องเที่ยวกระแอมเสียงดังลั่น   เอื้อยสะดุ้ง  เผลอตัวเข้ากอดอั๋น  อั๋นตะลึงไป หน้าแดงหูแดง  แต่แขนรีบโอบเอื้อยไว้
    
    ปวรรุจพารสามาที่รอยจารึกของลอร์ดไบรอน ที่เสาใหญ่ต้นที่สาม รสาขอให้ปวรรุจท่องบทกวี “นักโทษแห่งชิยอง” ให้ฟัง ปวรรุจท่องบทกวีที่แปลแล้วให้ฟัง รสาชมว่าเพราะพร้อมถามหาคนแปล พอรู้ว่าปวรรุจเป็นคนแปลเองก็ยิ่งชื่นชม ปวรรุจดีใจมากที่นอกจากจะถูกรสาชมแล้ว รสายังเลิกเรียกตัวเองว่า “ฉัน” เปลี่ยนเป็น “รสา” แทนแล้ว
    
    ทั้งหมดเดินมาหยุดอยู่ตรงทางลดระดับ ซึ่งเป็นทางแยกลงไปห้องใต้ดิน อิ่มพยายามรั้งไม่ให้ทุกคนลงไปชั้นใต้ดิน แต่ทุกคนยืนยันจะลงไปให้ได้ อิ่มโมโหสะบัดหน้าหนีกลับขึ้นไปรอด้านบนเพียงลำพัง
     
    หลังจากเดินชมปราสาทเสร็จ ทั้งหมดพากันไปทานอาหารด้วยกัน ปกรณ์พอรู้ว่าสามสาวยังไม่มีโปรแกรมเที่ยวก็รีบเอ่ยปากชวนให้ร่วมขบวนไปด้วยกันทันที อิ่มไม่พอใจมาก พอทานอาหารเสร็จ รีบเดินตามไปหาเรื่องรสาที่หน้าห้องน้ำ
    
    “นี่เธอ  เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ฉันรู้นะว่าเธอต้องการอะไรจากคุณชายรุจ” 
    
    “ฉันต้องการอะไร”
    
    “อยากจะจับคุณชายใช่ไหม  พวกลูกสาวพ่อค้าก็แบบนี้จ้องจะจับเจ้ารวย ๆ หวังจะได้สกุลเก่าเหง้าผู้ดีมาเสริมบารมีของตัวเอง”  
    
    “คุณดูถูกฉันเกินไปแล้วนะคุณอิ่ม”
    
    “ไม่เกินไปหรอก เพราะฉันเพิ่งแอบได้ยินเรื่องของเธอมาเมื่อกี้ เธอมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว  ที่เธอมาที่สวิสเพื่อมาตามคู่หมั้นของเธอ แล้วเธอก็ผิดหวังเสียเหลือเกินที่รู้ว่าคู่หมั้นเธอนอกใจ  เธอก็เลยรีบหันมาจีบคุณชายรุจไว้เป็นหลักยึดคนใหม่  แทนอาเฮียใจง่ายของเธอ”
    
    “ที่เธอพูดทั้งหมดเนี่ย เพื่ออะไร”
    
    “อ้าว....ก็ให้เธอเลิกหวังว่าจะจับคุณชายเสียทีไงล่ะ  เลิกรากับคุณชายเสียแล้วก็กลับไปหาอาเฮียคู่หมั้นของเธอเพราะลูกพ่อค้าด้วยกันย่อมเหมาะสมกันอยู่แล้ว” 
    
    “เพื่อหลีกทางให้เธออย่างนั้นใช่ไหม”
    
    “ฮิฮิ...ก็ใช่.....ไม่อยากบอกเลยว่า คุณ ชายจีบฉันตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง”
    
    “งั้นเหรอ  ถ้าอย่างนั้นคุณชายจะปฏิเสธคู่หมั้นของเธอได้ยังไงกันล่ะ”
    
    “หา....อะไรนะ คู่หมั้น คู่หมั้นที่ไหน”
    
    “อ้าว เธอไม่รู้หรอกหรือว่าคุณชายมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ตายจริง  ถ้าคุณชายไม่ได้บอกเธอก็แสดงว่าคุณชายหลอกจีบเธอเข้าแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นเราก็หัวอกเดียวกันนะ ทั้งคุณชายรุจ ทั้งอาเฮียของฉันหลอกจีบเราทั้งคู่ เฮ้อ....ผู้ชายนะผู้ชาย”
    
    รสาพูดจบก็รีบเดินหนีไปที่รถ อิ่มเดินตามไปหาเรื่องรสาต่อ
    
    “เราหมดเรื่องคุยกันแล้วค่ะ” 
    
    “แต่ฉันยังไม่หมดเรื่องคุยกับเธอ ฉันไม่เชื่อเรื่องที่เธอพูดแม้แต่นิด คุณชายไม่มีคู่หมั้นคู่หมายที่ไหน เธอสร้างเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น  คิดให้ดี ๆ นะ  เรื่องที่เธอจะร่วมเดินทางไปกับฉัน  กว่าจะถึงอินเตอร์ลาเก้นเราต้องร่วมทางกันไปอีกกว่าสองชั่วโมง คงไม่สนุกนักหรอกนะที่เราจะต้องเบียดอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้น” 
    
    รสาถอนใจ  ที่จริงเห็นด้วยกับอิ่ม  พอรสาเดินหนีไปแล้ว อิ่มหันไปเห็นกระเป๋าสะพายของรสาอยู่ในรถ อิ่มตาลุก ยิ้มเจ้าเล่ห์ แอบหยิบกระเป๋าของรสาขึ้นมา   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3397

 เดินทางมาโปรโมตมินิอัลบั้ม “ฮาร์ เวสท์ มูน” ในฐานะยูนิทย่อยในนาม “ทูยูน” (2YOON) ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก สำหรับ กายูน และ จียูน 2 สาวจาก วงโฟร์มินิท ที่งานนี้ เอ็ม.วาย. เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เลยขอชวน “บันเทิงเดลินิวส์” มาร่วมสนทนากับ 2 สาวแบบเอ็กซ์คลูซีฟสุด ๆ บอกได้คำเดียวว่า...สดใส เป็นกันเอง แถมยังตอบคำถามได้อย่างน่ารัก น่าหยิกมาก ๆ เดินทางมาเมืองไทยในฐานะ “ทูยูน” เป็นครั้งแรก รู้สึกอย่างไร? จียูน : “ที่ผ่านมาพวกเราเดินทางมาประเทศไทยในนามของ โฟร์มินิท แต่ครั้งนี้เราทั้งคู่ตื่นเต้นมากที่ได้มาเจอแฟน ๆในนามของ “ทูยูน”ซึ่งเป็นยูนิทย่อย และนี่ก็เป็นอัลบั้มแรกในนามทูยูนด้วย เลยดีใจเป็นพิเศษค่ะ”
    
    ยูนิทย่อยนั้น เป็นสไตล์แบบไหน และคิดว่าเสน่ห์ของอัลบั้มนี้อยู่ที่อะไร? กายูน : “ถ้าให้พูดเปรียบเทียบทั้งสองสไตล์เพลง สไตล์โฟร์มินิทจะเป็นแบบแข็งแกร่ง แต่ของทูยูนจะเป็นแบบน่ารักอบอุ่น ให้ความรู้สึกสนิทสนมกัน” จียูน : “ส่วนเสน่ห์ของอัลบั้มนี้ จะต่างจากโฟร์มินิทอย่างสิ้นเชิง เพราะอัลบั้มนี้จะมีความสบาย ๆ รวมทั้งยังเป็นแนวคันทรี ซึ่งฉันบอกได้เลยว่านี่เป็นครั้งแรกของนักร้องเกาหลี ที่เอาเพลงเคป๊อปมาผสมกลิ่นอายคันทรีแบบนี้ค่ะ”
    
    แยกมาทำยูนิทย่อยแบบนี้ รู้สึกแตกต่างจากตอนทำในนามโฟร์มินิทรึเปล่า เหนื่อยมากไหม? จียูน : “ตอนที่เราเป็นโฟร์มินิทจะมีสมาชิกเยอะ ก็อยู่ด้วยกันแบบสนุกสนาน พูดคุยเสียงดัง ไม่มีใครกล้าว่า แต่ข้อเสียคือเวลาที่เราแต่งหน้ามันใช้เวลานานมาก เลยไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัวกันเท่าไหร่ แต่พอเรามาทำงานในนามยูนิทย่อยทูยูน จะมีแค่สองคนแล้วเวลาก็เหลือเยอะ อย่างตอนที่เราอยู่ในห้องเวทติ้งรูม เราก็จะรอนานเลย แถมยังพูดคุยดังไม่ได้ เพราะมันมีความกดดันตรงที่กลัวคนอื่นจะว่าว่าอยู่กันแค่2 คน จะคุยอะไรกันนักกันหนา (ยิ้ม) ในด้านการทำงานกายูนจะออกแบบด้านภาพลักษณ์ ทั้งสไตล์เสื้อผ้าหน้าผม ทุกอย่างในอัลบั้มกายูนเป็นคนคิดหมดเลย ส่วนของจียูนเขาจะดูเรื่องการแต่งเพลงและทำนอง เพราะเขาชอบแต่งเพลงอยู่แล้ว ซึ่งในอัลบั้มนี้จียูนก็แต่งและดีไซน์เพลง ’24-7“ เองด้วยค่ะ”
    
    มานอกเรื่องนิดนึง หากได้รับของขวัญพิเศษหนึ่งอย่าง ทั้งสองอยากได้อะไรมากที่สุด? กายูน : “สิ่งที่ฉันอยากได้จากจียูนที่สุด คือ อยากให้เธอเก็บเงิน แล้วมาเที่ยวที่ประเทศไทยด้วยกันสองคนแบบส่วนตัว” จียูน : “ส่วนฉันอยากได้เวลาเป็นของขวัญจากกายูนค่ะ เพราะเราสองคนตารางงานมักจะไม่ตรงกัน ดังนั้นจะไปเที่ยวไหนด้วยกันก็ไม่ได้ ซึ่งถ้าได้เวลามาเป็นของขวัญก็คงดี เพราะเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันค่ะ”
    
    ให้เล่าความประทับใจประเทศไทยอย่างแรกที่นึกได้คืออะไร? กายูน : “ถ้าคิดถึงประเทศไทย ก็จะคิดถึงโฟร์มินิทเลยค่ะ เพราะว่าโฟร์มินิทเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่มีเสน่ห์และแฟนคลับในเมืองไทยเยอะด้วย อีกอย่างแฟนคลับในประเทศไทยก็จริงใจกับพวกเรามาก รวมทั้งยังมีการต้อนรับที่ดีที่สุด เวลาที่ใครได้ไปเที่ยวที่ประเทศไทยแล้วกลับมาที่ประเทศเกาหลีก็มักจะเล่าให้ฟังว่าโฟร์มินิทโด่งดังมากนะที่ประเทศไทย พอได้ยินแบบนี้ฉันก็ดีใจมาก" จียูน : “ที่นี่เป็นประเทศที่ร้อนแรงและอบอุ่นมากเลยค่ะ อาหารก็อร่อย ทุกอย่างดีไปหมดเลยค่ะ” เป็นไงบ้าง สาว ๆ 2 คนนี้ น่ารัก สดใส สมเป็น ทูยูน จริง ๆ.   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3398

 ซุ่มทำงานกันมาสักพัก ทรี.ทู.วัน (3.2.1) ซึ่งได้แก่ ป๊อปปี้-ชัชชญา, กวิน ดูวาล และ ทีเจ-จิรายุทธ ที่อัลบั้มใหม่ล่าสุดชุดที่ 3 “มัน เดย์” ได้ออกไอเดียเจ๋ง! ชวนนักร้องลูกทุ่งนุ่งสั้นแห่งยุค ใบเตย อาร์ สยาม เจ้าของเพลงฮิต ’สกัดดาวยั่ว“, ’เช็คเรตติ้ง“, ’รกอก“ฯลฯ มาร่วมฟีทเจอริ่งในเพลงใหม่ ’รักต้องเปิด“ (แน่นอก) สไตล์ทีฮอพผสมลูกทุ่ง แถมเพิ่มดีกรีความมันส์เหนือคำบรรยายเข้าไปซะด้วย ทีเจ ตัวแทนเพื่อน ๆ เล่าให้ฟัง “ที่มาที่ไป คือ เราอยากที่จะแต่งเพลง ทำเพลงที่ผสมผสานความเป็นไทยเข้าไปด้วยครับ ซึ่งถ้าจะให้มันชัดเจนขึ้น ต้องมีตัวจริงด้านเพลงลูกทุ่งมาร่วมงานด้วย ซึ่งก็คิดถึง พี่ใบเตย อาร์ สยาม เลย เพราะเขาเป็นสุดยอดแล้วของนักร้องลูกทุ่งสมัยใหม่ ที่มีความโดดเด่นกว่าใคร ความเปรี้ยวของเขาน่าจะเข้ากับ ทรี.ทู.วัน เลยได้ไอเดียมาแต่งเพลงนี้เลยครับ ’รักต้องเปิด“ (แน่นอก) เนื้อเพลงที่บอกถึงความรัก ถ้ารักแล้วต้องเปิดออกมา ไม่งั้นมันแน่นอก ซึ่งพวกเราและพี่ใบเตยมาประชันกันมันมากจริง ๆ ตั้งแต่ในห้องอัดแล้ว รวมถึงการเข้าฉากมิวสิกวิดีโอ ซึ่งพี่ใบเตยสมเป็นตัวแม่ด้านเพลงลูกทุ่งจริง ๆ สปิริตการทำงานสูงมากครับ ซึ่งผลงานเพลงจะเป็นอย่างไร ฝากติดตามเร็ว ๆ นี้ครับ”.   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3399

 เข้าฉายรอบสื่อมวลชนไปไม่ทันไร กระแสภาพยนตร์ “คู่กรรม” ก็ถูกวิจารณ์ปากต่อปากซะเละว่านางเอกใหม่ ริชชี่-อรเณศ ดีคาบาเรซ แสดงได้แย่ล่าสุดได้เจอพระเอกของเรื่องอย่าง ณเดชน์ คูกิมิยะ ในงาน “ไซเคิล ชิค แอท เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว” ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว เลยต้องถามความรู้สึกของเจ้าตัวสักหน่อย พร้อมให้เคลียร์เรื่องที่ว่าล่าสุดณเดชณ์ถูกถอดโฆษณาไปถึง 5 ตัวด้วย               
    
    ณเดชน์ เผยว่า “ผมว่ากระแสมันก็คือกระแส การวิจารณ์หนัง ผมก็อ่านที่เขาเขียนวิจารณ์ และดูที่คนพูดมาก็บอกว่าโอเคหนังดีมาก อยากให้คนที่ยังไม่ได้ไปดูลองไปดูก่อน ถามว่าเราเครียดเรื่องกระแสมั้ย คือกระแสไม่ดีไม่มีครับ ส่วนมากเป็นคำชม ส่วนที่บางคนมองว่าเราเล่นดีจนกลบนางเอกไปเลยนั้น จริง ๆ แล้วเรื่องนี้คาแร็กเตอร์นางเอกจะทำให้พระเอกดูน่าสงสารอยู่แล้ว มันเป็นประเด็นที่ต้องการสื่อให้คนดูรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ สาธุ ขอให้ถึงร้อยล้านเถอะครับ อยากให้ไปชมกัน รับรองว่าประทับใจแน่นอน” แต่หลายคนจะเอาไปเปรียบเทียบกับพี่มากพระโขนงที่ตอนนี้กระแสดีมาก? “จริง ๆ แล้วพี่มากจะมีความสนุกสนานอยู่เยอะ คนไทยก็ชอบหนังแนวนี้อยู่แล้ว แต่ใครที่ชอบหนังรักหรือเป็นแฟนคู่กรรม อยากจะรับอะไรใหม่ ๆ ก็ลองไปดูเรื่องนี้ละกัน คือมันแล้วแต่มุมมองของคนมากกว่า ผมกับพี่มาริโอ้ก็คุยอยู่แล้วขำ ๆ กัน”
    
    พอถามถึงเรื่องการเกณฑ์ทหาร ณเดชน์ แจ้งว่าจะไปทำการผ่อนผันก่อน โดยณเดชน์เปิดเผยว่า “วันที่ 7 เม.ย. นี้ ก็จะกลับขอนแก่นไปยื่นเรื่องผ่อนผันก่อน เพราะเรายังเรียนไม่จบ แต่จริง ๆ แล้วมันก็เป็นไปตามหน้าที่แหละครับ ถ้าผมหมดเกณฑ์ผ่อนผันเมื่อไหร่ก็คงเข้ารับราชการทหาร ซึ่งก็คงลองจับดูก่อนครับ” ล่าสุดมีข่าวว่าณเดชน์หลุดจากโฆษณาไปถึง 5 ตัว? “จริง ๆ เรื่องโฆษณาก็นับจำนวนไม่ได้ในปัจจุบันนี้ อย่าเรียกว่าหลุดดีกว่าที่โดนถอดไปก็โอเค ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ผมรู้สึกเฉย ๆ ส่วนคิดว่ามันเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากข่าวที่ว่ายูนิลีเวอร์ถอดโฆษณารึเปล่า คือผมว่าไม่เกี่ยวกันหรอก มันเป็นเรื่องอื่นมากกว่า แล้วแต่ผู้ใหญ่หรือผู้บริหารจะพิจารณาในส่วนนี้ เรื่องนี้ผมไม่มีสิทธิไปเรียกร้องอะไร มีหน้าที่ทำอย่างเดียว ก็ไม่ได้ใจหายนะครับ ไม่ได้เสียดาย คือไม่ได้รู้สึกอะไร เราไม่ได้นอยด์ ถามว่ามีผลิตภัณฑ์อะไรที่เราหลุดบ้าง คือผมยังไม่รู้ว่ามีอะไรถูกถอด เดี๋ยวต้องดูสัญญาตอนกลางปีอีกที” เห็นว่าเป็นเครื่องดื่มชาเขียวก็ถอดเราด้วย? “อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถามว่าจะมีผลิตภัณฑ์ตัวไหนมาเพิ่ม ผมว่ารอดูดีกว่า มีแน่ ๆ ครับ คือผมมองเรื่องถอดพรีเซ็นเตอร์เป็นเรื่องปกติ จะได้เป็นการเรียนรู้ไปในตัวด้วย อย่าไปยึดติดกับอะไรเลย ของพวกนี้ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว ส่วนเสียดายรายได้มั้ย พี่ครับทุกวันนี้ก็ใช้ไม่หมดแล้วครับ จริง ๆ แล้วมันไม่ได้อยู่ที่เงิน มันมามองในเรื่องของเวลาตัวเอง ก็อยากแบ่งเวลาให้ลงตัว แต่มันก็มีโฆษณาบางตัวที่ถอดออกไปจริงครับ”.   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3400

 ช่วงนี้ไปไหนมาไหนต้องเรียกว่า “คู่กรรม” ฟีเวอร์จริง ๆ เพราะมีทั้งหนังและละครที่ออกมาพร้อมกัน แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคงจะเป็น “อังศุมาลิน” เวอร์ชั่นหนังที่มาประกบพระเอกสุดฮอตแห่งปี “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เพราะมีแต่คนถามถึงเด็กผู้หญิงคนนี้ว่าเธอเป็นใคร ทำไมถึงได้รับบท “อังศุมาลิน” และในวันนี้เราจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักสาวน้อยคนนี้ “ริชชี่” หรือ “อมราวดี ดีคาบาเลส” สาวน้อยหน้าใส ในบท “ฮิเดโกะ” ที่หลาย ๆ คนอยากรู้จักเธอ ซึ่งตอนนี้เธอพร้อมที่จะมานั่งพูดคุยกับเราถึงเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงการถ่ายหนังเรื่องแรกในชีวิตของเธอด้วย  ริชชี่ เข้ามารับบท อังศุมาลิน ได้ยังไง?
    
    “ก็เพราะว่าพี่เอ-ศุภชัย คุยกับคุณแม่ บอกว่าให้มาแคสดู แล้วตอนนั้นไม่ได้บอกด้วยว่าเรื่องอะไร ก็ไปลองแคสกับพี่เรียว (ผู้กำกับ คู่กรรม) ดู เสร็จแล้วก็กลับบ้าน ไม่ได้รู้ว่าแคสเรื่องอะไรไปแล้วพอสักพักหนึ่ง พี่เรียวก็โทรฯ กลับมาบอกว่าให้ไปเวิร์กช็อปค่ะ”
    
    ช่วงที่ถ่ายหนังกระทบการเรียนไหม เห็นว่าริชชี่ เรียนอยู่เชียงใหม่?
    
    “ไม่กระทบมากค่ะ ก็ไป ๆ มา ๆ คือ ริชชี่ เรียนหนักไปแล้วตอน ม.4 ม.5 เพื่อใช้เกรดเรียนต่อมหาวิทยาลัย ตอนนี้ริชก็ได้โควตาที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิทยาศาสตร์ แล้วค่ะ ก็เลยขอที่โรงเรียนมา ซึ่งโรงเรียนก็สนับสนุน ก็เลยมาถ่ายหนังได้ค่ะ”
    
    ก่อนจะคุยกันเรื่องงาน ขอทำความรู้จักกับตัวจริงริชชี่เสียหน่อย ริชชี่คิดว่าตัวเองเป็นคนยังไง?
    
    “หนูเป็นคนเฉย ๆ นิ่ง ๆ อย่างเวลาไปแข่งกีฬา เพื่อน ๆ ก็จะบอกว่าริชเป็นคนนิ่งมาก ๆ ดูไม่ออกว่าคิดอะไร ดูไม่ออกว่าเหนื่อยไม่เหนื่อย บางทีตีไปเซต 3 แล้วนักกีฬาบางคนเขาจะแสดงออกให้กรรมการเห็นว่าเหนื่อยมาก แต่หนูจะนิ่ง ๆ ทุกคนดูไม่ออกว่าหนูรู้สึกอะไรอยู่ เหนื่อยหรือไม่เหนื่อย”
    
    แล้วอะไรที่ทำให้เรายิ้มได้ หรือว่าหัวเราะได้?
    
    “ก็เวลาที่อยู่กับครอบครัว อยู่กับเพื่อนสนิท อยู่กับพี่กับแม่ บางทีก็เล่นกันตลก ๆ ก็มีหัวเราะบ้าง” ริชชี่ เป็นนักกีฬาแบดมินตัน ริชชี่มีเป้าหมายในการตีแบดไหม?
    
    “ตอนซ้อมโค้ชก็จะมีเรียกมานั่งคุยเหมือนกัน เขาเป็นโค้ชจีน เขาจะบอกว่าผมสอนลูกศิษย์ ผมอยากให้ลูกศิษย์มีเป้าหมาย เขาจะถามว่าแต่ละคนมีเป้าหมายยังไง เพื่อนหนูก็บอกว่าเขาอยากพัฒนาขึ้น โค้ชก็ด่าเลยว่าถ้าอยากพัฒนา ก็ซ้อมแค่จันทร์ถึงศุกร์พอ เสาร์ อาทิตย์ ไม่ต้องมาตีเกม ผมเชื่อว่าถ้าอยากพัฒนาแค่ตีก็พัฒนาอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้อยากเป็นนักสู้ ไม่อยากจะเป็นนักกีฬาที่อยากแข่งแล้วชนะ ฟังแล้วก็อึ้งกันไป แล้วพอมาถึงหนู หนูก็บอกโค้ชหนูไปว่า หนูอยากเป็นแชมป์โลก (หัวเราะ) หนูไม่เว่อร์อะไรนะ โค้ชหนูก็บอกว่าฝันไกลไปมั้ง เอาแค่เป็นแชมป์ภูมิภาคให้ได้ก่อน (หัวเราะ) ตอนนี้หนูก็เป็นนักกีฬาเขต เป็นแชมป์ 18 ปีภาคเหนือค่ะ” ตอนนี้เข้าวงการบันเทิงแล้ว จะทิ้งวงการกีฬาหรือเปล่า?
    
    “หนูเข้ามหาวิทยาลัยเป็นโครงการนักกีฬา เข้าไปเรียนก็ต้องมีซ้อมต่อเนื่อง แล้วก็เล่นให้จุฬาฯ ส่วนเรื่องทีมชาติตอนนี้ก็ยังไม่ได้แน่นค่ะ เพราะว่าคุณแม่อยากให้แน่นการเรียนมากกว่า แม่ขอให้เป็นนักกีฬาเขต เยาวชน และนักกีฬามหาวิทยาลัยก็พอแล้วค่ะ
    
    ส่วนเรื่องวงการบันเทิงถ้ามีงานต่อเนื่องก็ต้องแบ่งเวลาให้ดี เวลาเรียน เวลาซ้อม เวลาทำงาน เพราะว่าตอนอยู่เชียงใหม่ก็ซ้อมหนักมากและเรียนหนักด้วย คุณแม่ก็บอกต้องแบ่งเวลาให้ได้ เพราะถ้าแบ่งเวลาได้หนูจะทำอะไรก็ได้”
    
    การเป็นนักกีฬากับการเป็นนักแสดง มันต่างกันไหม?
    
    “หนูว่าหนูได้แสดงเรื่องนี้ เพราะว่าหนูเป็นนักกีฬา พี่เอบอกว่าในเรื่องนี้ตัวละครจะต้องมีความแข็งแรง ความอดทน พี่เอไปเจอหนูตอนตีแบดอยู่ เขาบอกว่าเขาเห็นหนูมีความตั้งใจ คิดว่านางเอกที่พี่เออยากได้จะต้องเป็นคนที่แบบ แข็งแรง เข้มแข็ง เพราะว่าในเรื่องมันจะโหดมาก ต้องวิ่งหลบระเบิด ต้องขึ้นสลิงหนัก ๆ เลยอยากให้หนูลองดู หนูเลยคิดว่าด้วยความที่หนูเป็นนักกีฬามันก็ช่วยหนูในเรื่องนี้ด้วย เพราะบางทีต้องเจออะไรที่หนักมาก ๆ ทุกคนจะมาถามว่าหนูไหวไหม หนูบอกว่าซ้อมแบดมาหนักกว่านี้อีกค่ะ
    
    ส่วนเรื่องการแสดงกับการแข่งกีฬา มันก็เหมือนกันนะหนูว่า อย่างการแสดงมันก็ต้องมีเวิร์กช็อป เวิร์กช็อปก็เหมือนการฝึกซ้อม แล้วพอวันถ่ายจริงก็เหมือนวันแข่งกีฬา เหมือนตอนซ้อม หนูก็ซ้อมเต็มที่แล้วพอวันถ่ายจริงก็เต็มที่กับมัน ไม่ได้คิดถึงอะไร” จำความรู้สึกที่ไปกองถ่ายวันแรกได้ไหม ตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง?
           
    “ตื่นเต้นนิดหน่อยค่ะ ก็คิดไปว่าบรรยากาศในกองถ่ายจะเป็นยังไง ก็เกร็ง แต่พี่เรียวเขาจะยกซีนที่จะถ่ายวันแรกมาให้หนูซ้อมก่อน บอกว่าจะเล่นยังไง เหมือนทำให้อยู่ในบรรยากาศจริงเลย ซ้อมเป็น 10 รอบเลยค่ะ แล้วพอไปอยู่ในที่จริงก็เหมือนที่ซ้อมมาก็โอเคเลย เลยทำให้ไม่ได้เครียด ไม่ได้เกร็งมาก” แล้วเจอ พี่ณเดชน์ วันแรก เป็นไง?
         
    “คือหนูเคยได้ยินเพื่อนพูดถึง พี่ณเดชน์ คือหนูเองไม่ค่อยได้มีโอกาสดูทีวี เพราะชีวิตประจำวันหนูคือ ตื่นเช้าไปเรียน เลิกเรียนก็ซ้อมถึง 4 ทุ่ม กลับมาถึงบ้านก็ต้องทำการบ้าน บางวันก็ทำการบ้านถึง ตี 1 ตี 2 แล้วเช้ามาก็ไปเรียนอีก ชีวิตเป็นอย่างนี้แทบทุกวัน เลยไม่ได้ดูทีวีเลย เลยไม่รู้จักพี่เขา แต่เห็นครั้งแรกก็มีแบบคุ้น ๆ หน้า หนูก็กลับไปบอกแม่ แม่หนูคุ้น ๆ กับพี่เขา เหมือนเคยเจอมาก่อน สุดท้ายก็มานึกออกว่า หนูเคยเห็นพี่เขาตามป้ายโฆษณา คือปกติถ้าเจอใครครั้งแรกหนูก็จะนิ่ง ๆ เพราะหนูเป็นคนขี้กลัวคนที่ไม่รู้จัก และเป็นคนขี้อายมาก ๆ แต่กับพี่ณเดชน์ เจอกันครั้งแรกหนูไม่กลัวพี่เขา มันเหมือนคุ้น ๆ เป็นเพราะว่าเราเห็นพี่เขาตามป้าย ตามหน้าเซเว่นแทบทุกวันนั่นเอง (ยิ้ม ๆ)”
    
    เวลาเข้าฉาก มีเขินไหม?
             
    “ไม่เขินค่ะ เพราะว่าพี่เขาเป็นกันเองมาก เขาเข้ามาทักทาย ทำความคุ้นเคย ทำให้เราไม่เกร็ง และเวลาแสดงพี่เขาก็จะคอยสอน อย่างบางซีน คือหนูเป็นคนหลับตาไม่สนิท แล้วกล้องจะโฟกัสมาที่เรา มันเป็นซีนที่ง่ายมาก แต่มันเป็นซีนอารมณ์ของพี่เขา หนูแค่หลับตาเฉย ๆ แต่มันทำไม่ได้เพราะว่าหลับตาแล้วยังเห็นตาขาว หนูก็ตายแล้วทำไงดี พี่ณเดชน์ เขาก็จะสอนบอกว่า เปิดตาแล้วค่อยหลับตาเบา ๆ ตอนนั้นกังวลเพราะว่าพี่เขาเล่นผ่านแล้ว แล้วมาติดอยู่ที่หนู แต่พี่เขาก็บอกไม่ต้องเครียด เขาไม่ดุเลย” ตอนนี้หลงเสน่ห์หนังแล้วหรือยัง?
            
    “ก็ไม่เคยคิดเหมือนกันนะคะว่าจะได้เข้ามาเล่นหนัง  ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ เพราะแค่ไปแสดงหน้าห้อง หรือว่าพูดหน้าชั้น หนูยังทำไม่ได้ ขนาดเพื่อนตัวเองในห้องหนูยังเขิน แต่พอมาเล่นหนังเรื่องนี้ ก็รู้สึกดีใจหนูทำได้ อย่างวันสุดท้ายที่ถ่าย พี่เรียวบอกว่าริชชี่ ซีนสุดท้ายแล้วนะ คือก่อนหน้านี้หนูจะแบบ ถ่ายไปก็แอบคิดถึงบ้านไปอยากกลับบ้านแล้ว แต่พอวันนั้นพอพี่เรียวบอกซีนสุดท้ายแล้ว หนูรู้สึกแบบไม่อยากกลับเลย คิดถึงพี่ ๆ ก็เศร้านิดหนึ่ง”
    
    เอาละ คำถามสุดท้าย ถ้าเปลี่ยนวรรณกรรม อยากให้โกโบริตายไหม
         
    “ถ้าแก้บทวรรณกรรมได้ หนูอยากให้อังศุมาลินตายแทน (หัวเราะ) ดูภายนอก ถ้าใครดูจะคิดว่าเขาเป็นคนใจร้ายมาก ตอนที่หนูยังไม่ได้มาเล่นเอง แค่อ่านหนูก็คิดว่าอังศุมาลิน ใจร้ายมาก ไม่ชอบอังศุมาลินเลย แบบตอนโกโบริตายมานั่งร้องไห้ หนูก็คิดว่ามาร้องไห้อะไรตอนนี้ สงสารโกโบริมาก ไม่น่ามารักผู้หญิงคนนี้เลย
    
    แต่ตอนมาเล่นเอง ทำให้รู้ว่าความจริง อังศุมาลิน น่าสงสารมาก ๆ และโกโบริเอง เป็นต่างชาติที่โชคดีมาก ที่แสดงออกความรักได้ทุกอย่างเลย แต่ อังศุมาลิน รักโกโบริเหมือนกันแต่แสดงออกไม่ได้ ต้องเก็บทุกอย่าง และแสดงออกในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหัวใจตัวเองตลอด ซึ่งมันทรมานมาก ๆ น่าสงสาร แต่พอตอนจบเขาได้อิสระ เขาก็จะไปบอกรักโกโบริแล้ว โกโบริก็มาตาย จริง ๆ แล้วอังศุมาลิน น่าสงสารมาก ๆ นะคะ”
    
    บทพิสูจน์ของสาวน้อยคนนี้ตอนนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว ในโรงภาพยนตร์วันนี้กับภาพยนตร์ “คู่กรรม” ดาวดวงใหม่ดวงนี้จะเกิดได้หรือไม่อยู่ที่คุณ ๆ แล้วล่ะ. คนกลาง เรื่อง / สันติ มฤธนนท์ ภาพ   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3401

 เอ่ยชื่อ “มาร์กี้-ราศรี บาเล็นซิเอก้า” เชื่อว่าแฟนละครช่อง 3 รู้จักเป็นอย่างดี และหากเอ่ยชื่อ “อรศรี บาเล็นซิเอก้า” หลายคนอาจจะร้องอ๋อ...ในขณะที่อีกหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นามสกุลคุ้น ๆ ต้องเป็นอะไรกับมาร์กี้แน่ ๆ เธอมิใช่ใครที่ไหน “เหน่ง-อรศรี” เป็นคุณแม่แท้ ๆ ของ “มาร์กี้” และ “มารีน่า” (น้องสาวมาร์กี้) โดยคุณพ่อชื่อ นาย
    แดเนียล บาเล็นซิเอก้า (เสียชีวิตแล้ว) ในเวลาต่อมาคุณแม่ของมาร์กี้ จึงได้แต่งงานใหม่กับ “นายไมเคิล เจ ฮอนโนลด์” ตำแหน่งผู้ช่วยทูตฝ่ายวัฒนธรรม
    
    ด้วยความที่ “มาร์กี้” เป็นนางเอกวัยใส ของวิกช่อง 3 และน้องสาว “มารีน่า” ก็กำลังเดินตามรอยพี่สาวเข้าสู่วงการบันเทิง ในฐานะนางเอกอีกคนหนึ่ง ทำให้คุณแม่ “เหน่ง-อรศรี” ที่บางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เป็นอดีตนางแบบ และมิสยูนิเวอร์ซิตี้ ของค่ายยูแอนด์ไอ ไม่เพียงแค่นั้นยังเป็นนักแสดงในจอทีวีอีกด้วย จนช่วงหนึ่งเธอตัดสินใจทิ้งงานแสดง ด้วยเหตุผลอะไร...และอย่างไร ที่แน่ ๆ วันนี้เธอกลับมาคืนจออย่างสง่างามอีกครั้ง
    
    วันนี้ “คนดังหลังฉาก” ได้มานั่งคุยกับ “เหน่ง-อรศรี” วัย 49 ปี ตามประสาคนกันเอง ณ ร้านหอแว่น เซ็นทรัลเวิลด์ ถึงบทบาทของแม่นางเอก “มาร์กี้” และ “มารีน่า” รวมไปถึงเรื่องอื่น ๆ ที่เธออยากจะเล่า บทบาทของคุณแม่ในชีวิตจริง เป็นอย่างไรบ้างคะ “ปกติค่ะ...ไม่ใช่ว่าพอลูกเป็นดาราจะมาสอนอย่างนู้นอย่างนี้...ไม่ใช่ เราสอนเขามาตั้งแต่เด็ก
    ทำเหมือนเดิมทุกอย่าง จากสมัยเด็กเราก็มีกฎเกณฑ์ให้ลูกเยอะ โตขึ้นเวลาที่เขาทำงานทำการแล้ว เขาดูแลตัวเองหมดเลย เราก็คอยดูแลแบบกลับถึงบ้านหรือยังลูก วันนี้อาหารเช้าจะกินอะไรลูก มีปัญหาอะไรบ้างมั้ยลูก ตอนนี้เป็นสิ่งที่ดูแลกันแบบนี้ พูดตรง ๆ เราเป็นที่ปรึกษาให้เขามากกว่า”
    
    อย่างตอนที่ “มาร์กี้” เป็นข่าวกับพระเอก “บอย-ปกรณ์” ล่ะ“เรื่องข่าวไม่ใช่แม่สอนลูก ลูกนั่นแหละสอนแม่ว่า ไม่ต้องไปคิดมากเรื่องข่าว แม่ต้องรู้ว่าลูกแม่เป็นยังไง แล้วเราก็มั่นใจในตัวลูกเรา ข่าวที่ออกมาทุกอย่างส่วนใหญ่เป็นข่าวดีของมาร์กี้ ข่าวบางเรื่องคนอื่นเห็นว่าเป็นเรื่องทุกข์ แต่บ้านเราไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องทุกข์ เราคิดว่าทุกคนต้องมีข่าวในแง่ลบแล้วก็ในแง่บวก ถ้าลูกเรามีข่าวในแง่บวกเยอะมากกว่าแง่ลบ เราแฮปปี้แล้ว”
    
    กังวลมั้ย...เพราะเรามีลูกสาวสวย แล้วก็มีชื่อเสียงด้วย “เรื่องบางเรื่องเราต้องคอยบอกเขาใส่หูเขาตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้ทำงานเสร็จ มาร์กี้ก็อาจจะไปนั่งไปเที่ยวกับเพื่อน อาจจะไปอยู่แถวซอยทองหล่อ ไปอยู่นู้นอยู่นี่เพราะเป็นวัยของเขา ที่เขาจะต้องออกไปแบบนี้แล้ว ถ้าเขาไม่ออกไปเลยเรากังวลนะ เอ๊ะ...ลูกเราผิดปกติหรือเปล่า ไม่มีเพื่อนหรือเปล่า แต่ตอนนี้ลูกเรามีเพื่อนเยอะ และน่ารักทุกคน เราก็มั่นใจแล้วว่าลูกเราดูแลตัวเองได้ บางครั้งเราบอกลูกว่า เพื่อนม่าม้าคนนี้ดีมากนะลูก ลูกก็จะถามว่าแล้วคนนี้เขาดียังไง ตอนหลังลูกก็จะรู้ว่าการที่เราจะเชื่อใจคนหรือไม่เชื่อใจคน ต้องคบไปนาน ๆ แล้วก็อ่านคนให้ออก มาร์กี้กับมารีน่าอ่านคนออกนะ แต่พูดหรือไม่พูดอีกเรื่องนึง”
    
    คงภูมิใจสุด ๆ ที่ลูกสาวเป็นนางเอกทั้งคู่ “ไม่ได้ภูมิใจในเรื่องนั้น แต่ภูมิใจในเรื่องที่ว่าเขาทำงานได้ แล้วก็ดูแลชีวิตตัวเองได้ แล้วทั้งสองก็เป็นคนที่เข้าใจชีวิต คือไม่เป็นอะไรที่สุขมาก แล้วก็ไม่เป็นอะไรที่ทุกข์มาก เราจะรู้สึกว่าลูกเรากลาง ๆ ในการที่เขาได้งานมาอะไรมา เขาไม่แสดงออกว่าเขาดีใจอย่างมาก หรือว่าตอนนี้กับตอนนั้น (ตอนที่มาร์กี้เข้าวงการฯ
    ใหม่ ๆ) เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าตอนนี้เขาดังมากหรืออะไร เขามีความรู้สึกว่าเขาไปของเขาเรื่อย ๆ รู้สึกว่าเขาคอนโทรลชีวิตตัวเองได้”
    
    วกกลับมาคุยเรื่อง “เหน่ง” บ้างในฐานะนักแสดง ได้ข่าวว่า มีหนังและละครติดต่อมาหลายเรื่อง “ใช่ค่ะ มีละคร 2-3 เรื่อง แล้วก็หนังใหญ่เรื่อง มาย เลิฟ จะเปิดกล้องเร็ว ๆ นี้ จริง ๆ แล้วเหน่งเป็นคนที่ชอบการแสดงมากที่สุด แล้วก็งานเดินแบบด้วย แต่ชีวิตก่อนหน้านี้ต้องหันเหมาทำธุรกิจ เพราะมันต้องเลี้ยงลูกเท่านั้นเอง ถ้าเรายังอยู่กับตรงนั้นเราไม่มีเงินเลี้ยงลูก เราไม่มีเงินส่งให้ลูกเรียนสูง ๆ ได้ เราก็เลยต้องหันออกไปทำธุรกิจก่อน พอมันอยู่ตัวก็กลับเข้ามารับการแสดงอีก กลับมาเล่นละครมันเป็นงานที่ชอบ เวลาทำมีความสุขมากเพราะได้เจอเพื่อนในวงการฯ ที่เราเคยเจอกันในสมัยก่อน อีกอย่างหนึ่งก็คือเหน่งต้องการคุยกับลูกเหน่งรู้เรื่อง เราทำงานเหมือนกันเราจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า ถ้าหากว่าเหน่งไม่กลับมารับงานแสดงอีก เหน่งก็จะไม่รู้เลยว่าในวงการฯเขาไปถึงไหนแล้ว ในขณะที่เหน่งเข้าไปเหน่งก็ยังรู้จักเพื่อนของลูก คุยกับเพื่อนของลูกได้ในเรื่องของวงการฯ คุยกับทุกคนได้ที่เขาอยู่ในแวดวงของลูกเรา” มีผู้จัดติดต่อให้เล่นเป็นแม่ลูกกันบ้างมั้ย “ยังค่ะ มีแต่เล่นเป็นเจ้านายกับลูกน้อง ในเรื่องเงาพราย ตอนเล่นรู้สึกเขินเหมือนกัน เชื่อมั้ยว่า...เราแม่ลูกเนี่ย เราไม่เขินคนอื่นเลยนะ แต่อย่าให้ลูกเห็นเวลาเราเล่นนะ เราอ๊าย...อาย ลูกก็ไม่อายใครนะ อายแม่คนเดียว สมัยก่อนไปส่งลูกตามห้างเวลาลูกไปโชว์ตัว แล้วลูกบอกว่าลูกจะต้องร้องเพลง เหน่งจะต้องไปเดินที่อื่นเลย เพราะถ้าอยู่ลูกทำไม่ได้เพราะลูกจะเขินเรา ก็เลยต้องค่อย ๆ แอบดูลูก ตอนลูกเล็ก ๆ มาร์กี้เป็นนักกีฬา แข่งบาสเกตบอล เขาบอกม่าม้าไม่ต้องไปเลย ม่ายงั้น...หนูเล่นไม่ออก ก็ต้องค่อย ๆ เซาะ ๆ แต่แม่นั่งหน้าเลย” (หัวเราะปากกว้าง...ประสาคนเปิดเผย)
    
    นอกจากงานแสดง ช่วงนี้ทำงานเกี่ยวกับการกุศลด้วย “ใช่ค่ะ เราไม่สามารถช่วยเหลือด้านเงินทองได้ เราก็เอาแรงกายเราเข้าไปช่วย ล่าสุดทำโครงการบุญตา ร่วมกับคุณภาคี ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการบริษัทหอแว่น กรุ๊ป ขอรับบริจาคดวงตากับแว่นกันแดด เพราะตอนนี้มีคนไข้ที่ไปทำตา เสร็จแล้วกลับมาเขาไม่มีแว่นกันแดดใส่ ซึ่งมันจะไม่ได้ประโยชน์เลย เขาต้องการในส่วนนี้ แล้วก็ผู้คนที่รอรับบริจาคดวงตาคือตาเขาบอดแล้ว แต่ถ้าสมมุติเขาได้ดวงตาไป เขาจะได้กระจกตาไปเพื่อที่จะไปเปลี่ยนตาให้เขา และแว่นกันแดดสำคัญ เราก็รณรงค์ให้คนใส่แว่นกันแดด เพื่อที่จะรักษาดวงตาก่อนที่มันจะบอด เพราะตอนนี้คนตาบอดเยอะมาก ทราบข้อมูลของทางศูนย์ดวงตามาแล้วว่า มันเป็นอะไรที่น่ากลัว ต้องดูแลดวงตาไว้ ดูแลให้อยู่ได้นานที่สุด หากท่านใดประสงค์จะบริจาคแว่นได้เลยนะคะ ที่ร้านหอแว่นทุกสาขา แล้วก็บริจาคดวงตาได้ที่หอแว่นด้วย ก่อนนี้เราจะได้ยินว่าต้องไปบริจาคดวงตาที่สภากาชาดไทย ตอนนี้เดินเข้าไปที่ร้านหอแว่นได้เลยค่ะ”
    
    ลูกสาว “มาร์กี้” และ “มารีน่า” คงภูมิใจในตัวคุณแม่ “เหน่ง-อรศรี บาเล็นซิเอก้า” อย่างมากทีเดียว เพราะเธอคือสุดยอดคุณแม่ ที่เก่งไปซะทุกเรื่อง พูดเร็ว...คิดเร็ว...ทำเร็ว เล่นเอาคนอื่นตามแทบไม่ทัน!!!. ปรางค์ ปิ๊กมี่   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3402

 ยังคงโกยรายได้ไปอย่างต่อเนื่องสำหรับหนังผี คอมเมดี้ โรแมนติก “พี่มาก..พระโขนง” ของผู้กำกับ 200 ล้าน “โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล” ค่ายจีทีเอช หลังจากที่ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้วงการหนังไทยได้คึกคักกันไปทั้งบาง คนดูต่างโดนใจกับมุกสุดฮาของบรรดาแก๊งเพื่อนพี่มาก ฟรอยด์-ณัฏฐพงษ์ ชาติพงศ์, เผือก-พงศธร จงวิลาส, เชน-อัฒรุต คงราศรี และ บอมบ์-กันตพัฒน์ เพิ่มพูนพัชรสุข ที่ขยันยิงมุก สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกันแบบ
    นันสต็อป
    
    นอกจากความเฮฮา หลายคนยังซาบซึ้งใจในความรักของพี่มาก (มาริโอ้ เมาเร่อ) ที่มีต่อแม่นาค (ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่) โดยเฉพาะฉากงานวัด ถือเป็นซีนโรแมนติกอีกฉากที่หลายคนชื่นชอบ ฉากนี้ยังเป็นฉากที่เหล่านักแสดงต่างชื่นชอบ จนต้องขอยกนิ้วให้กับ ผู้กำกับคนเก่ง โต้ง-บรรจง และทีมงานฝ่ายอาร์ตที่ช่วยกันเนรมิตลานโล่ง ๆ ที่ จ.สิงห์บุรี ให้กลายเป็นฉากงานวัดสุดอลังการ
    
    โดยฉากนี้เป็นซีนที่พระนางไปเดินเล่นกันที่งานวัด แล้วเพื่อนพี่มาก ก็ตามไปเพื่อจะบอกความจริงบางอย่าง ซึ่งบรรยากาศการถ่ายทำสนุกสนานสุด ๆ มีชาวบ้านแต่งตัวโบราณมาเข้าฉากกันอย่างเนืองแน่น และเบื้องหลังที่ฮาสุด ๆ คือฉากบ้านผีสิง ที่ทั้งเชน, บอมบ์, เผือก, ฟรอยด์ ต้องแปลงร่างกลายเป็น ผีตานี ผีกระหัง ผีปอบ และกุมารทอง แถมยังต้องวิ่งหนีออกมาจากบ้านผีสิง ซึ่งต้องมีการวิ่งฝ่าทะลุกำแพงออกมา โดยมีเงื่อนไขว่าต้องวิ่งให้สุดแรงเกิด และจะต้องทำให้ได้ภายใน 2 เทคเท่านั้น ทำเอาทั้ง 4 ถึงกับเหงื่อแตก แต่ก็มุ่งมั่นตั้งใจสุด ๆ จนในที่สุดก็วิ่งทะลุกำแพงมาได้จนได้ภาพสมใจผู้กำกับ และฉากนี้จะสนุกแค่ไหนต้องไปติดตามชมกันในโรงภาพยนตร์จ้า.   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3403

 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเปิดงานรอบปฐมทัศน์การกุศลภาพยนตร์เรื่อง “คู่กรรม” กำกับการแสดงโดย “กิตติกร เลียวศิริกุล” นำแสดงโดย “ณเดชน์ คูกิมิยะ” รับบท “โกโบริ” และ “อรเณศ ดีคาบาเลส” รับบท “อังศุมาลิน” ณ โรงภาพยนตร์ สยามภาวลัย  พารากอน ซีนีเพล็กซ์ โดยมีเหล่าสื่อมวลชน คนบันเทิง แขกวีไอพี ร่วมรับเสด็จอย่างคับคั่ง รายได้โดยเสด็จพระราชกุศล นำเข้าสมทบทุนมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก
      
    บรรยากาศในงานรอบปฐมทัศน์คึกคักตั้งแต่ช่วงบ่าย โดยแขกผู้มีเกียรติ สื่อมวลชน  ทยอยมาถึงบริเวณงานบรรดาแฟนคลับของเหล่าดาราและประชาชนบริเวณนั้นต่างมารอชมการเดินพรมแดงของแขกผู้มีเกียรติ ที่มาร่วมงานนี้อย่างเนืองแน่น
      
    พรมแดงถูกปูลาดตั้งแต่ด้านหน้า ศูนย์การค้าสยามพารากอน สู่โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย พารากอนซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน เมื่อได้เวลาขบวนนักแสดง แขกวีไอพี ในวงการธุรกิจและสื่อมวลชน ผู้กำกับ นักแสดงที่มีชื่อเสียงของประเทศ อาทิ วิลลี่ แมคอิน ทอช, คัทลียา แมคอินทอช, เกียรติศักดิ์ อุดมนาค, พายไก่ สาระแน, โก๊ะตี๋-เจริญพร อ่อนละม้าย, อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ, ยิปโซ-รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์, ณัฐฐาวีรนุช ทองมี, หน่อง-ธนา ฉัตรบริรักษ์, แจม-ชลธร ปรัชญารุ่งโรจน์ ฯลฯ ก็พร้อมเข้าสู่โรงภาพยนตร์ ตามมาด้วย “ทมยันตี”ศิลปิน
    แห่งชาติเจ้าของบทประพันธ์และแขกกิตติมศักดิ์ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล, หม่อมกมลา ยุคล, ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล, พลตรี พัชรรัตตกุล, ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล, คุณพลอยพิชชา พิภพวรไชย, สรพงศ์ ชาตรี, พันตรี วันชนะ สวัสดี (ผู้พันเบิร์ด), นพชัย ชัยนาม (ปีเตอร์), ดร.เสรี วงษ์มณฑา, ปรัชญา ปิ่นแก้ว,วิยะดา โกมารกุล ณ นคร, อรนภา กฤษฎี, สุเชาว์ พงษ์วิไล, นันทิดา แก้วบัวสาย, เพ็ญพักตร์ ศิริกุล,    นุสบา ปุณณกันต์, อาภาศิริ จันทรัศมี (นิติพน), อัมรินทร์ นิติพน, ดีดีดี นิลุบล  (ผัดไท), หนุ่ม คงกะพัน, หลิว มนัสวี, สโรชา ตันจรารักษ์, โยชิ-นิมิต มนัสพล ฯลฯ และปิดท้ายกับขบวนไฮไลต์ทีมนักแสดง “คู่กรรม”
    
    และในเวลา 18.30 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จมาถึง โดยมี คุณวิชาพูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ และ จันทิมา เลียวศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และโปรดิวเซอร์ บริษัท เอ็ม เทอร์ตี้ ไนน์ จำกัด ผู้ดำเนินงานสร้างเฝ้ารับเสด็จ.   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3404

 ถือเป็นโปรเจคท์ยักษ์แห่งปี ผลงานซีรีส์ “สามทหารเสือสาว” จาก ค่ายทีวีซีน ที่นำบทประพันธ์ชั้นเลิศโดยเจ้าของนามปากกา กิ่งฉัตร มาสร้างเป็นละคร 3 เรื่องต่อเนื่อง ได้แก่
    “มายาตวัน”, “มนต์จันทรา” และ “ฟ้ากระจ่างดาว” โดย “มายาตวัน” เพิ่งถูกส่งลงจอไปหมาด ๆ ถือเป็นการเปิดตัวที่สำคัญซึ่งจะเรียกความสนใจจากแฟนละครได้แน่นอน ด้วยบทประพันธ์ที่ดี และได้ บทกร มานั่งเขียนบทโทรทัศน์ กำกับการแสดงโดย ผิน เกรียงไกรสกุล “มายาตวัน” ละครแนวโรแมนติก-เบาสมอง เรื่องราวสนุกสนานครบรส ทั้งเรื่องราวความรักของพระ-นาง และความตลกของตัวละครในเรื่อง อีกทั้งยังสอดแทรกเรื่องราวการสืบสวนเพื่อให้ละครสนุกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้นักแสดงระดับฝีมือและเป็นแม่เหล็กของช่อง มาดึงดูดแฟนละครอีกต่างหาก เริ่มจากคู่พระ-นางของเรื่องซึ่งได้ อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์ มาประกบคู่นางเอกรุ่นน้อง ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ พร้อมด้วย หนุ่ม-ศรราม เทพพิทักษ์ ที่ครั้งนี้ขอพลิกบทเล่นร้ายสุดขั้วอีกครั้ง อีกทั้งยังได้นักแสดงสมทบเพิ่มความสนุกอีกคับจอ อาทิ อภิษฎา เครือคงคา, โจโจ้ ไมอ็อคซิ, อาเธอร์ เบญจกุล, ราศี บาเล็นซิเอก้า, ชาคริต แย้มนาม ฯลฯ และเพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม ทางทีวีซีนได้ทุ่มทุนยกกองไปถ่ายทำกันถึงภูเก็ต สถานที่จริงตามบทประพันธ์  เพื่อที่ผู้ชมจะได้เห็นบรรยากาศของทะเลฝั่งอันดามันที่สวยงาม อีกทั้งยังได้เพิ่มอุปกรณ์และเทคนิคการถ่ายทำ เพื่อให้ได้ภาพที่สวยถูกใจแฟน ๆ ด้วย รวมไปถึงขั้นตอนในการเลือกมุมกล้องและการตัดต่อที่ครั้งนี้ทีมงานทุกคนตั้งใจทำกันอย่างพิถีพิถันจริง ๆ งานนี้ บอสปิ่น-ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์ ตั้งใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ทำละครชุด เลยอยากจัดเต็มที่สุด แน่นอนว่าการเดินทางไปถ่ายทำละครแบบนี้ก็ต้องมีอุปสรรคบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งอุปสรรคที่สำคัญ คือ ปัญหารถติดในภูเก็ต ทำให้การทำงานล่าช้ากว่าที่คิด แต่สุดท้ายแล้วการถ่ายทำทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี นักแสดงทุกคนมีความสุขในการทำงาน และด้วยบรรยากาศกองถ่ายที่รายล้อมไปด้วยทะเลและวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ทำให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างสนุกสนานครึกครื้น คราวนี้มาถึงคำบอกเล่าของดารานำในเรื่องกันบ้าง เริ่มที่พระเอกกล้ามปูปากชมพู อั้ม เผยว่า “เรื่องนี้ผมรับบทเป็น “เขตต์ตวัน” และได้เล่นกับ ญาญ่า น้องเขาเป็นเด็กที่น่ารักมาก ตั้งใจทำงานมาก ๆ ถึงบางครั้งจะมีบทพูดที่ยาวมากน้องก็จำได้หมดมีพูดผิดพูดถูก ถือเป็นความน่ารักของน้องเองแต่น้องก็ตั้งใจ อย่างฉากปีนต้นไม้เพื่อแอบถ่ายรูปบ้านของผมในเรื่องต้นไม้นั้นก็สูง แต่น้องญาญ่าก็ปีนเองเก่งมาก ส่วนผมสบาย ๆ ต้องยืนดูน้องปีนต้นไม้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในจังหวัดภูเก็ต เราต้องเดินทางไปถ่ายที่ภูเก็ตกันจริง ๆ ทะเลที่ภูเก็ตสวยมากอยากให้ทุกคนได้ชมในละคร แต่ตอนถ่ายนั้นก็เจอปัญหาบ้าง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ” ฟาก ญาญ่า เสริมว่า “หนูรับบทเป็น “มัทนา” ค่ะ เป็นอะไรที่สนุกมาก เพราะหนูก็รู้จักและสนิทพี่ ๆ คนอื่น ๆ ด้วย ได้ร่วมงานครั้งนี้เลยมีแต่ความสุนก และยังมีภาพบรรยากาศสวย ๆ ของภูเก็ต เราต้องถ่ายที่ภูเก็ต จริงแฟน ๆ ชาวภูเก็ตก็ให้การต้อนรับหนูดีมาก เราไปถ่ายที่แหลมพรหมเทพอย่างฉากพระอาทิตย์ตกที่สวยจริง ๆ นะคะ เรื่องนี้แรก ๆ หนูอาจถูกพี่อั้มแกล้ง แต่หนูฝึกวิทยายุทธจากพี่อั้มมาแล้ว หนูแอบเอาไปแกล้งพี่มาร์กี้กับพี่แมทด้วย แต่หนูสู้เขาไม่ได้เลย เพราะพี่มาร์กี้กับพี่แมทรู้ทันหนู มันเป็นความสนุกอีกอย่างที่ได้แกล้งคนอื่นเขาค่ะ หนูขอฝากซีรีส์ “สามทหารเสือสาว” เรื่อง “มายาตวัน” ด้วยนะคะ”   ปิดท้ายที่ หนุ่มศรราม ต่ออีกว่า “เรื่องนี้ผมเล่นเป็นตัวร้ายครับ ร้ายมาก ที่สำคัญเรื่องนี้ผมได้มีโอกาสกลับมาร่วมงานกับ ทีวีซีน อีกครั้ง ครั้งนี้จะร้ายคนละแบบกับครั้งที่เล่น “เงาพราย” เพราะเรื่องนั้นจะมีผีพรายมาคอยช่วยจึงค่อย ๆ ร้ายขึ้น แต่เรื่องนี้ร้ายด้วยตัวนิสัยของตัวละครเองเลย ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับน้อง ๆ ที่น่ารักอย่าง ญาญ่า น้องเก่งมาก เป็นมืออาชีพและเล่นได้เป็นธรรมชาติ และอั้มเองก็เก่งอยู่แล้ว การแสดงของอั้มนั้นเป็นมืออาชีพจริง ๆ ผมขอฝากละครเรื่องนี้ด้วยนะครับ” แฟน ๆ ละครไม่ควรพลาด “มายาตวัน” ออกอากาศทุกวันพุธ-พฤหัสบดี หลังข่าวภาคค่ำ ช่อง 3.... “มายาตวัน” 2 ปีก่อน วงการบันเทิงได้ต้อนรับดาวรุ่งดวงใหม่ที่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง “มายา” เพียงเรื่องแรกและเรื่องเดียวก็ทำให้ เขตต์ตวัน โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน ทั้งงานโฆษณา งานเดินแบบ ถ่ายแบบ งานอีเวนต์ต่าง ๆ พุ่งเข้าใส่เขตต์ตวันชนิดไม่มีวันให้ได้พัก กลุ่มแฟนคลับของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกเพศทุกวัย มัทนา นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น มัทนา เป็นแฟนคลับตัวยง ตามกรี๊ดตามเชียร์ ติดตามข่าวสารผลงานทุกอย่าง แม้แต่ตามเถียงตามแก้ข่าวให้เขตต์ตวัน ในทุกสื่อ แม้แต่เว็บไซต์เล็กน้อยถ้าเธอรู้ก็ตามแก้ข่าวให้พระเอกขวัญใจได้ตลอด แล้วเรื่องไม่คาดฝันได้มีข่าวช็อกวงการขึ้น เมื่อเขตต์ตวันถูกจับข้อหาฆ่า ยุพิน หญิงขายบริการตาย...ข่าวอื้อฉาวต่าง ๆ นานา ถาโถมเข้าใส่เขตต์ ตวัน เขาเองก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และตั้งทนายต่อสู้คดี มัทนาเองก็ไม่เชื่อตามให้กำลังใจ ช่วยแก้ข่าวให้ศิลปินขวัญใจชนิดไม่เป็นอันเรียน เขตต์ตวันถูกถอดจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า เนื่องจากภาพลักษณ์ไม่ดี สำนักพิมพ์ต่าง ๆ เริ่มขุดคุ้ย เปิดโปงเรื่องส่วนตัวของเขาไม่หยุดหย่อน โดยที่บางเรื่องไม่เป็นความจริงเลย เขตต์ตวันเลยฝังใจเกลียดชังพวกนักข่าวเข้ากระดูกดำ ไม่นานนักศาลชั้นต้นก็พิพากษาว่าเขตต์ตวันไม่มีความผิด ไม่เกี่ยวข้องกับการตายของยุพิน พวกหนังสือพิมพ์หน้าแตกไปตาม ๆ กัน แต่ก็ไม่วายแขวะเขตต์ตวันไม่เลิก แถมแฉว่าเค้ามีแม่เป็นโสเภณี เขตต์ตวันหมดความอดทนเลยแถลงข่าวอำลาวงการ สร้างความตื่นตะลึงให้กับแฟนคลับชนิดตั้งตัวไม่ทัน มัทนาถึงกับร้องไห้โฮล้มป่วยไปเลย...หลังจากแถลงข่าวเขตต์ตวันก็หายไปจากวงการจริง ๆ ไม่มีใครได้ข่าวเขาอีกเลย 2 ปีต่อมา มัทนาสำเร็จการศึกษาได้เข้ามาทำงานเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์สยามสาร เธอได้รับมอบหมายจาก ไชยวัฒน์ บก.หนังสือให้ไปทำข่าวเขตต์ตวันอดีตพระเอกชื่อดัง ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ภูเก็ต เพราะไชยวัฒน์ได้รับข้อมูลมาจากสายข่าวเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของเขตต์ตวัน ว่าเขาเคยเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงอยู่ที่วัดสวนป่า จังหวัดภูเก็ต โดย หลวงพ่อจรูญ ผู้ใจบุญ ทำให้ไชยวัฒน์ต้องการรื้อฟื้นข่าวของเขตต์ตวันขึ้นมาอีก เพราะคิดว่าอย่างไรข่าวของดาราหนุ่มก็ยังเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป หนังสือสยามสารมีนักข่าวหญิงเหล็ก 3 คนที่ต่างบุคลิกกัน คือ สาระวารี, มีคณา และ มัทนา ทั้งสามสนิทกันมาก มัทนาเป็นรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามาเป็นนักข่าว และได้รับมอบหมายให้ไปสัมภาษณ์เขตต์ตวัน ในขณะที่สาระวารีไปทำข่าวการเปิดบ่อนกาสิโนที่ตราด ส่วนมีคณาทำข่าวการค้าประเวณี บ้านของมัทนาเป็นครอบครัวใหญ่ พ่อกับแม่เป็นอาจารย์ทั้งคู่ พี่สาวคนโต สาวิตรี ก็เป็นอาจารย์ พี่สาวคนรอง ศกุนตลา เป็นนางพยาบาล ส่วนน้องคนสุดท้อง วาสิฐฐีกำลังเรียนมหาวิทยาลัยคณะนิติศาสตร์ แม่ของมัทนามักจะพูดเสมอว่าทำไมมัทนาถึงแหกคอกออกมาทำงานนักข่าว และบอกให้ลาออกอยู่เสมอ แต่หญิงสาวก็รักงานนักข่าวมากไม่ยอมลาออกตามที่แม่ขอร้อง เมื่อมัทนาบอกแม่เรื่องจะไปทำข่าวเขตต์ตวันที่ภูเก็ต ศกุนตลาได้ยินเข้าจึงเล่าเรื่องที่ว่าเคยเจอเขตต์ตวันไปเยี่ยมคนไข้ที่โรงพยาบาล ซึ่งคนไข้ผู้หญิงคนนั้นติดยา ศกุนตลาเตือนให้มัทนาระวังตัวด้วย เมื่อมัทนาเดินทางถึงภูเก็ต เธอเข้าพักที่โรงแรมอโณทัย และได้รู้จักชายหนุ่มหน้าตาดีที่เข้ามาแนะนำตัวทำความรู้จักกับเธอ เขาคือ เชน ครอส หรือ เชษฐ์ หนุ่มนักธุรกิจค้าไข่มุกอยู่ที่ภูเก็ต หญิงสาวสนิทสนมกับเชนอย่างรวดเร็ว เพราะมองเห็นสายตาที่อ้างว้างของเขาแล้วรู้สึกสงสาร มัทนาเริ่มทำงานโดยการเดินไปแอบดูบ้านของเขตต์ตวัน แล้วไปถามร้านค้าแถวนั้น แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลมากนัก รู้แต่ว่ามักจะมีหญิงสาวหน้าตาดีเดินเข้าออกบ้านนี้บ่อย ๆ มัทนาเดินเลาะชายหาดกลับโรงแรม จนได้พบกับเขตต์ตวันที่ยืนมองพระอาทิตย์ตกดินอยู่ เธอรู้สึกได้ถึงความเหงาโดดเดี่ยวของเขา สักพักมัทนาก็เห็น ลลิสา นางแบบสาวเข้าไปกระแซะเขตต์ตวัน ตามด้วยนางแบบอีกคน ชลบุษย์ที่ตามมาเรียกเขตต์ตวัน มัทนาจึงสลัดความสงสารออกไป เมื่อมัทนากลับโรงแรม เธอก็ได้รับโน้ตจากเชนซึ่งชวนไปกินมื้อเย็นด้วยกัน เชนคุยเปิดเผยจนมัทนาไม่อยากปิดบังว่าตนเป็นนักข่าวแอบมาสืบเรื่องของเขตต์ตวัน เชนบอกว่าเขตต์ตวันเก็บตัวมากและเกลียดนักข่าว เลยแนะให้ปลอมตัวเข้าไปทำงานในบ้านแล้วค่อย ๆ สืบหาความจริง  มัทนาเริ่มปฏิบัติการสมัครเข้ามาขอทำงานเป็นลูกจ้างบ้านเขตต์ตวัน มัทนาเจอกับเอกชัยเพื่อนสนิทที่ทำงานกับเขตต์ตวัน เอกชัยรู้สึกถูกชะตา แต่ไม่มีแผนการรับลูกจ้างเพิ่ม มัทนาก็ขอทำงานให้ฟรีพิสูจน์ผลงาน เอกชัยใจอ่อนในความตลกเฮฮาช่างพูดของมัทนายอมให้เข้ามาทำงาน ไม่ทันข้ามวันดี พอเขตต์ตวันกลับมาเจอก็ไม่พอใจ ไล่ตะเพิดมัทนาออกไปจากบ้าน มัทนาเฮิร์ตสุด ๆ ฟูมฟายว่าตนเป็นคนจน น่าสงสาร และเคยเป็นแฟนหนังเขตต์ตวัน ทำกับเธอแบบนี้ได้ยังไง มัทนาวิ่งร้องไห้เสียใจออกไปจากบ้านไป เขตต์ตวันและเอกชัยจึงเข้าใจว่าเป็นพวกคลั่งดารา แต่มัทนาก็ฮึดสู้ อยากเอาชนะเข้าไปสมัครงานใหม่เป็นคนดูแลสวน เอกชัยขำ ๆ มัทนาตื๊อโชว์ฝีมือทำสวนอีก เขตต์ตวันออกมาพร้อมนางแบบคู่ใจเจอก็ไล่ตะเพิดออกจากบ้านอีก แถมตำหนิเอกชัยให้ด้วย พร้อมกับขู่ว่าถ้ามัทนาเข้ามาในบ้านจะแจ้งตำรวจจับ งานนี้มัทนาไม่ยอมแพ้ กลับไปที่วัดสวนป่าหลวงพ่อจรูญ เพื่อเก็บข้อมูลรายล้อมเขตต์ตวันก่อนอย่างน้อยจะได้ไม่มาเสียเที่ยว เรื่องราวจะลงเอยอย่างไรต้องติดตามต่อในละคร. ไปรมา รายงาน   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

3405

 ช่วงนี้เรียกได้ว่ากระแส “พี่มาก พระโขนง” กำลังมาแรงจริง ๆ เพราะแค่ไม่กี่วันก็สามารถทำเงินไปได้ถึง 200 ล้านแล้ว ยิ่งส่งผลให้พระเอกคนนี้ “มาริโอ้ เมาเร่อ” มีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีก เพราะก่อนหน้านี้อย่างที่เรารู้กัน หนุ่มฮอตเป็นโสดแล้ว หลังจากที่ตัดสินใจแยกทางกับ “กุ๊บกิ๊บ-สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย” ที่คบหากันมา 9 ปีและวันนี้ “มาริโอ้” จะมาเปิดใจถึงข่าวคราวความรักครั้งใหม่กับ “ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่” แต่ก่อนจะถึงเรื่องนี้ เราไปพูดคุยกับ มาริโอ้ ถึงเรื่อง พี่มาก พระโขนง กันก่อนดีกว่า เพราะรายได้ในวันนี้นั้น สร้างปรากฏการณ์หนังไทยทำเงินเรื่องใหม่ไปแล้ว
    
    “พี่มาก พระโขนง”
    
    ตอนแรกกดดันไหม กับการรับบทพี่มาก?

    
    “ไม่กดดันเท่าไร เพราะโอ้ไปแคสมาด้วย ตอนแรกเขาไม่บอกด้วย บอกแค่เป็นหนังวัยรุ่น พอแคสเสร็จ เขาถึงจะบอกว่าเล่นหนัง พี่มาก ตอนแรกก็งงเลย เพราะว่าเราได้ยินมาแต่เรื่อง แม่นาค นางนาค พระโขนง แต่พอเราเอาบทมาอ่านก็แบบพลิกเรื่องเลย จากภาคก่อน ๆ ที่ทำกันมา อันนี้มันเป็นมุมมองใหม่ของเขาเลย ซึ่งพอเราอ่านบทแล้วเราก็ชอบมุมมองใหม่ของเขาเลย ดูกล้าคิด กล้าทำดี
    
    จริง ๆ เรื่องนี้เล่าเรื่องราวไม่เหมือนก่อน และมีโรแมนติกเข้ามาด้วย แต่จริง ๆ หนังจะเป็นหนังตลกเลย แต่โอ้ว่าเรื่องนี้เล่นยากกว่าดราม่าอีกนะ เพราะการทำให้คนหัวเราะไม่ง่ายเลย มันต้องคม และต้องมีจังหวะด้วย เล่นเรื่องนี้แล้วผมชื่นชมตลกทุกคนเลย เพราะว่ามันยากจริง ๆ การที่จะทำให้คนหัวเราะได้”
    
    เล่นกับ ใหม่ เป็นยังไงบ้าง?
    
    “ตอนแรกไม่รู้จักกันเลย เขาก็ให้เรามาเข้าบทกัน เราก็ต้องมาทำความรู้จักกัน เพราะว่าตามบทเปิดเรื่องมาเรากลับมาจากที่เราไปรบ พอเจอกันเราก็ต้องกอดกันแสดงความรักกันมาก ๆ แล้วเราต้องเล่นแบบไม่ขัดเขิน เขาก็เล่นได้ น้องเขาสู้ แต่จริง ๆ กองนี้ไม่มีใครบ่นเลย ทุกคนเหนื่อยมาก รวมทั้งพี่ ๆ 4 คน คือถ่ายกันตอนกลางคืนยันเช้า ทุกคนสู้มาก”
    
    ตอนแรก โอ้ คาดหวังแค่ไหนกับหนังเรื่องนี้?
    
    “ก่อนอื่นเลย คืออยากให้คนเห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่ผู้กำกับเขียนขึ้นมาใหม่ เราต้องเปิดใจไปดูเลย ผมรับรองว่าไม่มีใครเคยเห็นแน่นอน และอีกอย่างโอ้ไม่เคยคิดเลยจะเป็นพระเอก 100 ล้าน โอ้เอาแค่หวังว่าแค่คนสองคนเดินออกจากโรงหนังแล้วออกมาบอกว่าหนังสนุก ไม่ต้องบอกว่าโอ้เล่นดีด้วย แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว 100 ล้านโอ้รู้สึกว่ามันต้องตั้งเป้า แต่ถ้าได้ก็ดี แต่เขาบอกว่ามันต้อง 200 เรื่องนี้ ผมก็สาธุเหมือนกันนะ”
    
    “โกอินเตอร์”
    
    ไปรับงานต่างประเทศมา เป็นยังไงบ้าง?

    
    “ได้ประสบการณ์ครับ โอ้ไปทำงานต่างประเทศ อยู่ในกองมีแต่คนจีน ทั้งกองมีเรามีผู้จัดการ มีพี่ชาย แล้วนอกจากนั้นมีแต่คนจีนทั้งหมดเลย คุยกันไม่รู้เรื่องด้วย แต่เราก็ถ่ายหนังกันเสร็จเรื่องหนึ่ง ก็ได้ประสบการณ์มาเยอะครับ แค่ได้เห็นการใช้ชีวิตของคน เห็นการทำงานของเขา ผมก็ถือว่าโอเคมากนะครับ เพราะสิ่งเหล่านี้มันหาซื้อไม่ได้ มันต้องไปอยู่จริง ๆ ถึงจะรู้ บางทีมันไม่สบายหรอกครับ ทั้งเรื่องอาหารการกิน อากาศมันหนาวมาก มันไม่ชินเพราะมันไม่ใช่บ้านเรา แต่เราก็ต้องสู้ เพราะมันเป็นโอกาสที่ดีที่เข้ามา”
    
    ที่โน่นเขาดูแลเราดีไหม?
    
    “เขาก็น่ารักนะครับ ทั้งสองประเทศเลยทั้งจีน และฟิลิปปินส์ เขาดูแลเราอย่างดี เขาให้เกียรติเรามาก ได้เรียนรู้ภาษาด้วย แต่ที่จีนต้องใช้ล่าม แต่ฟิลิปปินส์ ได้ใช้ภาษาอังกฤษเต็ม ๆ ไม่ต้องผ่านล่าม สนุกมากครับ แต่ผมก็พยายามจูนเข้าหาเขาด้วย เพราะเราไม่รู้จักเขาเลย ทั้งผู้กำกับ เพื่อนนักแสดง เราต้องเปิดใจเข้าไปหาเขา ไม่ใช่ปิดกั้นตัวเอง ก็ไปถามว่าเราเล่นเป็นยังไงบ้าง เขาชอบไหม ก็เอามาปรับปรุงตัวเอง”
    
    “เส้นทางบันเทิง”
    
    ชีวิตในวันนี้กับวงการบันเทิงของ มาริโอ้ เป็นยังไง?

    
    “ไม่เคยคิดมาก่อนจะมาถึงวันนี้ เพราะเมื่อก่อนเราทำงานเพราะว่าเราอยากได้เงิน แต่พอเราทำไปทำมาเราเริ่มเห็นคุณค่าของงาน รู้สึกว่างานมันมีค่า มันทำให้คนดูหรือว่าใครก็ได้ ได้ดูงานเราแล้วเขามีความสุขหรือว่าคิดอะไรได้ แต่ผมก็ยอมรับว่ามันได้อย่างเสียอย่าง แต่ผมก็ไม่เคยคิดเลยว่าผมเลือกผิด เพราะว่าผมเลือกแล้ว ยังไงก็ตามมันต้องดีที่สุดเพราะเราเลือกเองและเลือกแล้ว”
    
    การใช้ชีวิตลำบากไหม มีชื่อเสียงมาก ๆ มันลำบากไหม?
    
    “ไม่นะผมว่า บางทีผมว่ามันง่ายด้วยซ้ำ เพราะว่าบางทีผมไปตลาด ผมก็ได้ของฟรีกลับมาด้วย ( หัวเราะ) ส่วนข้อเสียผมว่ามันมีอยู่แล้ว เวลาออกไปข้างนอกมันอาจจะไม่มีความเป็นส่วนตัวบ้าง แต่ผมก็มองว่า มันต้องแลก ถามว่าอึดอัดไหม มันก็มีบ้างนะคนเรา แบบตอนนี้ไม่อยากให้ใครรู้จักเลย กดปุ่มแล้วไม่มีใครรู้จักเราเลยได้ไหม (หัวเราะ) แต่พอเรามาคิดใหม่ ก็แค่คนเข้ามาขอถ่ายรูป ไม่เห็นเป็นไร เรากลับมาคิด เราเองก็เป็นคนที่ชอบศิลปินคนนั้นคนนี้ เวลาที่เราเจอเขาเราก็อยากจะถ่ายรูปกับเขาเก็บเอาไว้ก็เหมือนกันแหละ แต่นี้เป็นเราคนอื่นเขาชอบเรา เราก็หันไปถ่ายรูปกับเขาแค่ 2 นาทีแค่นั้นก็เสร็จแล้ว ผมคิดแบบนี้ ผมก็เลยไม่รำคาญเลย ใครจะขอถ่ายรูปผมก็มาเลย มาถ่ายเลย อีกอย่างมันเหมือนโชว์ให้เขาดู เขาชอบเราไม่มีปัญหาเลย ก็ต้องขอบคุณเขานะครับ ที่เขาชอบเรา ชอบงานเรา”
    
    โอ้ ตั้งเป้าหมาย การเป็นนักแสดงไหม?
    
    “ผมก็ทำไปเรื่อย ๆ ครับ มีบทใหม่ ๆ มาให้ลองก็จะลองเล่นไปเรื่อย ๆ”
    
    “สถานะโสด”
    
    ขอถามเรื่องราวชีวิตบ้าง มีแฟนมานาน แล้วพอ โสดชีวิตโสด เป็นยังไงบ้าง?

    
    “อืม...มันก็โอเคนะครับ ต้องปรับตัวกันบ้าง แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้คบกับใคร โอ้ก็คุยกับกิ๊บมานาน ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะมาเริ่มใหม่กับใคร คุยแต่ก็ไม่ได้พัฒนาไปไหน”
    
    โอ้ เป็นคนจริงจังกับความรักไหม?
    
    “ครับผมก็จริงจัง เพราะโอ้มองว่าความรักมันเป็นสิ่งที่ดี มันมีความสุข มันเติมเต็ม มันทำให้เรามีพลัง มันทำได้หลายอย่างมาก จริง ๆ ผมก็ไม่เคยคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่แย่ ถึงวันนี้ผมก็ไม่เคยกลัว ไม่เข็ดกับความรักนะ แต่ว่าเราก็ต้องมีเวลาให้กับมันด้วย ไม่ใช่ว่ามีความรักแล้วแต่เราไม่มีเวลาให้ก็ไม่ได้ เราต้องดูให้มันเหมาะสมด้วย”
    
    โอ้ ได้บทเรียนอะไรจากที่รักไม่สมหวังบ้าง?
    
    “ผมว่าไม่มีบทเรียนนะ เพราะผมจำแต่สิ่งดี ๆ อะไรที่มันไม่ดีก็ไม่อยากจะไปจำมันมาก เราจำแต่สิ่งดี ๆ ดีกว่า อะไรที่ไม่เป็นไปตามที่เราหวัง ก็ไม่อยากจะเก็บเอามาคิด ไอ้สิ่งที่ผิดหวังมันก็ไม่ได้ทำให้โอ้เสียใจหรือว่าเจ็บ เพราะโอ้ก็มองแต่สิ่งดี”
    
    ถึงวันนี้กับ กุ๊บกิ๊บ เป็นเพื่อนได้จริง ๆ เหรอ?
    
    “อืม...ผมรู้จักกันนานมาก 9 ปี มันต้องได้แหละครับ ตอนนี้ก็เป็นแล้ว พอเลิกกัน การเลิกกันมันมี 2 แบบ แบบหนึ่งคือเลิกกันแล้วเจอกันไม่ได้ เกลียดกันไปเลย แต่ของโอ้ เลิกกันแล้วเราก็ยังคุยกันได้ เป็นเพื่อนกัน เจอหน้ากันก็คุยกันได้ เพราะว่าที่ผ่านมาเราผ่านเรื่องราวมาเยอะ เรื่องราวดี ๆ ที่เรามีให้กันก็เยอะ เราก็เลือกที่จะเก็บสิ่งดี ๆ และไม่จำเป็นต้องตัดกันขาดขนาดนั้น เจอกันได้เป็นเพื่อนกันได้”
    
    “ใหม่ ดาวิกา”
    
    แล้วถ้าจะมีความรักอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นยังไง?

    
    “ไม่เคยคิดจริง ๆ ครับ ผมไม่มีคิดไว้ในหัว ผมไม่รู้ว่าผมชอบแบบไหนเป๊ะ ๆ คือผมว่ามันต้องเจอกัน ต้องคุยกัน หลาย ๆ อย่าง อีกอย่างเขาต้องยอมรับในสิ่งที่เราเป็นด้วยนะ ชอบเล่นกีฬา ชอบอยู่กับเพื่อน อะไรแบบนี้”
    
    จากหนังเรื่องนี้ ทำให้มีข่าวกับใหม่ และถูกจับตามองมาก?
    
    “ผมไม่มีอะไรเราแค่คุยกันปกติมาก ๆ ถึงมากที่สุด สงสารน้องเขาที่มีคนมาพูดว่าเขาเป็นมือที่สาม คือมันไม่ใช่ เราไม่ได้คบกันเป็นแฟน มันไม่ใช่น้องเขา 21 เอง สงสารน้องจริง ๆ ผมบอกทุกคนเลยว่าเราไม่ได้คบกันเป็นแฟน มันไม่ได้เร็วขนาดนั้น เราก็คุยกันปกติ”
    
    คำว่าคุยกัน หลายคนตีความว่ากำลังคบหา ศึกษากันอยู่?
    
    “คนเราก็มองได้หลายแบบนะครับ เราคุยกันก็แบบคนทำความรู้จักกัน ไม่ได้จีบกัน มันไม่ได้เร็วขนาดนั้น เพราะว่าเรื่องของผมเองก็เพิ่งจะผ่านไปไม่นานนี้เอง เราคุยกันธรรมดาจริง ๆ ไม่ได้อะไรไปมากกว่านี้”
    
    แต่ข่าวว่า เหมือนพบรักในกองถ่าย?
    
    “ผมปฏิเสธไม่ได้ แล้วแต่คนจะมองอย่างที่บอกว่าผมสงสารน้องจริง ๆ เพราะมันไม่ใช่ แล้วน้องก็ไม่ได้อะไรเลย มีคนมองว่าน้องมาจีบผม มันยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย เราแค่ทำความรู้จักกันเท่านั้นเอง”
    
    แล้วเรียกว่า สนิท ได้ไหมกับใหม่?
    
    “เอาจริง ๆ คุยกันแป๊บเดียวเอง คุยกันน้อยมาก คุยทำความรู้จักกันไม่ถึงอาทิตย์ ไม่ได้โทรฯ คุยด้วย แค่ส่งเมสเสจ สำหรับโอ้ ถ้าผมจะจริงจังกับใคร แค่ส่งเมสเสจไม่ได้มีอะไรเลยนะครับ มันต้องโทรฯ คุยมากกว่า ถ้าเราจะจริงจังคบกันเป็นแฟน มันต้องสนิทกันมากกว่านี้ มันต้องคุยกันมากกว่านี้แต่นี่ไม่มีเลยครับ”
    
    เรียกว่าเคลียร์กันไปแล้วนะคะ สำหรับกรณีของข่าวคราวในเรื่องของความรัก แต่อนาคตหนุ่มคนนี้ จะมีใครเข้ามานั่งในหัวใจนั้น คงต้องลุ้นกันต่อไป และสุดท้ายนี้เราขอแสดงความยินดีกับ มาริโอ้ ที่ขึ้นแท่นพระเอกสองร้อยล้าน คนแรกของประเทศไทยไปแล้วจ้า. กาญจนา สิทธิเม่ง รายงาน   

                         


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

หน้า: 1 ... 225 226 [227] 228