ผู้เขียน หัวข้อ: ‘บอย’ พา ‘ข้างหลังภาพ’ สู่บรอดเวย์ กระแสตอบรับดี ‘บี้’ สะกดฝรั่งอยู่หมัด  (อ่าน 793 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ RobotNew

  • Moderator
  • *****
  • กระทู้: 3411
  • Level:
    0%
  • Thank : 0
    • ดูรายละเอียด
    • สะกิดข่าว
    • อีเมล์

 หลังจากที่เสียงลือมาหนาหูว่าหนุ่ม บี้-สุกฤษฎิ์วิเศษแก้ว และ บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ บอสใหญ่ค่ายเอ็กแซ็กท์ กำลังจะนำละครเวทีเรื่อง “บีไฮด์ เดอะ เพ้นติ้ง เดอะ มิวสิคเคิล” หรือ “ข้างหลังภาพ เดอะ มิวสิคเคิล” เข้าฉายที่บรอดเวย์ในปีหน้า ล่าสุดทั้งคู่ออกมาชี้แจงความเป็นจริงว่าโปรเจคท์นี้เกิดขึ้นจริง แต่ยังอยู่ในช่วงออดิชั่นให้คนในวงการบรอดเวย์ดูอยู่ ซึ่งอนาคตจะก้าวไปไกลถึงไหนนั้น ต้องมาลุ้นกันอีกที
    
    โดย บอย เผยก่อนว่า “จากที่มีข่าวหลุดออกไปเกี่ยวกับ “บีไฮด์ เดอะ เพ้นติ้ง เดอะ มิวสิคเคิล” หรือ “ข้างหลังภาพ เดอะ มิวสิคเคิล” ที่จะไปเล่นที่อเมริกา โดยมีบี้แสดงและผมกำกับนั้น ต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจริง แต่ว่ายังไม่ทราบว่าจะเล่นเมื่อไหร่ เพราะยังไม่ได้มีกำหนดชัดเจนขนาดนั้น ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นมา 2 ปีกว่า ๆ แล้วที่เราคิดกับทางต่างชาติ แต่ยังไม่ได้เล่นต้นปีหน้าอย่างที่เป็นข่าว
    
    ซึ่งโครงการนี้เริ่มแรกมันเกิดจากผมได้ไปทำงานร่วมกับคนที่ทำงานบรอดเวย์ ก็มีคนสนใจถามว่าเป็นไปได้มั้ยที่จะเอามิวสิคคัลที่เราทำที่เมืองไทยไปทำเป็นภาษาอังกฤษ แล้วไปเล่นที่อเมริกา ซึ่งเขามาสะดุดที่เรื่อง “ข้างหลังภาพ” ที่เขาคิดว่ามันเข้ากันได้กับคนอเมริกัน มันก็มีการปรับบทจนแทบจะเขียนใหม่หมด แต่ว่าโครงเรื่องยังคงเป็นเด็กไทยไปเรียนที่ญี่ปุ่น ไปรักกับผู้หญิงที่อายุมากกว่า และสุดท้ายนางเอกก็ตาย สิ่งที่ทำแล้วทำให้อเมริกันดูแล้วรู้สึกเข้าใจมากขึ้น ก็คือตัวละครตัวนึงต้องเป็นคนอเมริกัน ซึ่งมาลงตัวที่ตัวนางเอก ในเรื่องนี้นางเอกจึงชื่อว่า “แคทเธอรีน” ซึ่งจะเป็นคนที่พาคนอเมริกันเข้ามาในโลกนี้ให้ได้ หลายคนอาจจะมองว่ามันจะสูญเสียความเป็นไทยมั้ย ผมจะบอกว่ามันกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในข้างหลังภาพเวอร์ชั่นนี้มันสะท้อนเห็นความเป็นไทยมากกว่าเดิม เพราะคาแรกเตอร์ของ “นพพร” คือเป็นเด็กไทย อายุ 22 ปี ตอนปี ค.ศ. 1933 ซึ่งเป็นหนึ่งปีหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งเขาคิดว่าเขาเบื่อประเทศไทย เขาอยากเป็นอเมริกัน อยากทันสมัย วันนึงพอไปเจอแคทเธอรีน แล้วก็คิดว่านี่คือทุกอย่างที่เขาใฝ่ฝัน แล้วมาอยู่ในตัวผู้หญิงคนนี้หมด แต่กลับเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอกกับเขาว่าวัฒนธรรมของไทยมันงดงามมาก ทำไมคุณมองไม่เห็นความงามที่มีอยู่ กลายเป็นว่าเธอทำให้เขากลับมามองเห็นคุณค่าของรากเหง้าตัวเอง ซึ่งการปรับเปลี่ยนบทก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับตัวบทประพันธ์เดิมนะ เพราะว่าเราซื้อบทประพันธ์มาไว้แล้ว
    
    ส่วนทำไมพระเอกต้องเป็นบี้ คือผมไม่ได้เลือก แต่ฝรั่งเห็นบี้เล่นแล้วบอกว่า ถ้าจะหาคนอเมริกันที่เล่นได้ขนาดนี้หายากมาก เพราะความจริงใจที่เห็นเลยว่าผู้ชายคนนี้รักผู้หญิงคนนี้มาก มันไม่มีทางออกมาได้ขนาดนี้สำหรับคนอเมริกัน เขาก็อยากให้บี้มาเล่น มันก็ผ่านขั้นตอนอยู่เยอะเหมือนกัน ก็ไปร้องเพลงให้เขาฟัง เขาก็ชื่นชมกันอยู่มาก และเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็เป็นการอ่านบทให้คนในวงการบรอดเวย์ประมาณร้อยกว่าคนได้ฟัง ฟีดแบ็ก ก็ดีมาก ทุกคนชื่นชมมาก ๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่งวันนั้นบี้ไปยืนท่ามกลางนักแสดงบรอดเวย์ ร้องเป็นภาษาอังกฤษ และเขาไม่เคอะเขินเลย สามารถเอาคนดูอยู่ได้ทั้งเรื่อง มีเสียงชมว่าไม่สามารถละสายตาจากบี้ได้เลย และชื่นชมว่าเรื่องราวนั้นสวยงาม
    
    การไปทำงานกับคนระดับบรอดเวย์ ผมก็บอกเขาว่าผมกลัวนะ เพราะไม่เคยกำกับบรอดเวย์ แต่มันมีหนึ่งคำจากคนเบื้องหลังของบรอดเวย์บอกว่าอย่ากลัว เพราะว่าเราเป็นตัวจริง ตรงนี้ไม่ใช่เยินยอ แต่เป็นคำที่เรารู้สึกว่าเดินมาถูกทาง เราไม่ได้เหลิง เรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ ซึ่งเดือน ก.พ.ปีหน้าที่จะถึง จะเป็นการแล็บพรีเซ็นเทชั่น ซึ่งมันก็เป็นกระบวนการของมัน ส่วนจะเข้าเล่นในบรอด เวย์จริงเมื่อไหร่ยังตอบไม่ได้ ซึ่งหลังจากแล็บก็มีเป้าหมายว่าจะไปกันที่นิวยอร์ก แต่ก็ยังไม่มีกำหนดการที่แน่นอนครับ สิ่งที่เราภาคภูมิใจ คือที่โน่นเขาต้อนรับเราดีและให้เกียรติเรามาก และอีกอย่างคือโปรดักชั่นดีไซน์ของเราก็จะไปทำตรงนั้นด้วย สำหรับภาษามันเป็นเรื่องของสำเนียง ยังไงก็ต้องมีสำเนียงแบบไทย ๆ เพราะว่านั่นเป็นเสน่ห์ แต่ว่าเราจะทำยังไงให้คนเข้าใจ เรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้สำหรับบี้ คือเรื่องของภาษาอย่างเดียวเลย แต่อย่าลืมว่าเขาเพิ่งหัดเรียนภาษาอังกฤษจริงจังยังไม่ถึงปีเลย จากตอนเดือน พ.ย. ปีที่แล้วถึงตอนนี้ก็ต่างกันฟ้ากับเหวมาก แล้วยังเหลือเวลาอีกเป็นปีในการเรียนรู้ มันก็ฝึกกันไปได้ ผมไม่คิดว่ามันเป็นอุปสรรคมากมายครับ”
    
    ด้าน บี้ เสริมว่า “พอรู้ว่าถูกเลือกให้เล่นเรื่องนี้ก็ตัดสินใจอยู่นานมาก เกือบปีเลยทีเดียว คิดว่าจะไปดีมั้ย เพราะเรารู้ว่างานตรงนั้นค่อนข้างจะหนัก เราก็ลองฝึกดูก่อน ทั้งเรื่องการร้อง การเต้นและเรื่องของภาษา จากนั้นก็ไปเทสต์ให้เขาดู ได้รับคอมเมนต์มาก็กลับมาแก้ไข คือเราปรึกษากับหลายคนมากว่าจะไปทำตรงนั้นดีมั้ย จนในที่สุดก็ตัดสินใจไป เพราะว่ามันก็เป็นโอกาสที่ดี หลาย ๆ คนก็อยากที่จะไป เขาก็บอกว่าเอาความฝันพวกเขาไปทำให้เป็นจริงเถอะ และก็เป็นเรื่องของชื่อเสียงประเทศชาติด้วย
    
    ถามว่าผมกดดันมั้ย เพราะมีความคาดหวังจากทางนั้นค่อนข้างมาก คือผมไม่กดดันเลยครับ เพราะผมจะคิดแค่ว่าเราพาความฝันของทุกคนไป และถ้ามันเป็นไปได้จริงก็จะพาชื่อเสียงของประเทศชาติด้วย ส่วนเรื่องของภาษามันก็ไปในแบบที่เขาต้องการถูกต้องแล้ว แต่เราก็ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องครับ เรื่องของการท้อจนอยากเลิกทำมันก็มีบ้าง เพราะว่าเหมือนผมไปตัวคนเดียวโดด ๆ ต้องไปสรรหาเพื่อนตั้งแต่ศูนย์ ภาษาก็ไม่รู้เรื่อง เหมือนเคว้งคว้าง แต่ยังดีที่มีเจ้านายและทีมงานไปบ้าง พอถึงเวลาทำงานจริง ๆ ก็ค่อนข้างยากกว่าที่คิด เพราะงานฝรั่งค่อนข้างเป๊ะมาก เลยมีความเครียดต่าง ๆ เข้ามา เรื่องการร้องเพลงก็จะเป็นแบบบรอดเวย์ ที่มีโน้ตแบบมหากาพย์ มีเมโลดี้ต่าง ๆ ที่ยากมาก ๆ รวมทั้งภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาที่สละสลวย คำศัพท์ยาก ๆ แต่เราก็ตัดสินใจไปแล้ว สำหรับการวางแผนงานในปีหน้า โดยประมาณช่วงนี้ยังมีการถ่ายหนังกับจีทีเอช ก็อาจจะยาวไปถึงต้นปีหน้า แต่ต้นเดือน ก.พ. ผมต้องไปที่นู่นเพื่อซ้อมสำหรับแล็บ แล้วก็กลับมา อาจจะมีโปรเจคท์เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันต้องไปกลับอีกนานแค่ไหน ก็แล้วแต่ว่าถ้าเวลานั้นมาถึงก็ตัดสินใจอีกทีนึงครับ”.   

                             


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

 
แชร์บทความ...
โค้ดแบบ forum
(BBCode)
โค้ดแบบ site/blog
(HTML)