ผู้เขียน หัวข้อ: แค้นเสน่หา วันที่ 31 กรกฎาคม 2556  (อ่าน 343 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ RobotNew

  • Moderator
  • *****
  • กระทู้: 3411
  • Level:
    0%
  • Thank : 0
    • ดูรายละเอียด
    • สะกิดข่าว
    • อีเมล์
แค้นเสน่หา วันที่ 31 กรกฎาคม 2556
« เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2013, 08:14:02 am »

 ในที่สุดฉัตต์ก็ปิดร้านอาหารสวนราตรีตามที่ประกาศบอกไว้   รุ้งเขียนจดหมายให้ยอดเอาให้จันทร์ที่วัด...ทางด้านท่านหญิงแขไข  นับตั้งแต่รุ้งมาอยู่ที่วังรังสิยา  เธอเกิดความระแวงว่าจันทร์จะเป็นคนส่งรุ้งมาเพื่อเรียกเอาทุกอย่างไปจากเธอ  โดยเฉพาะชายเดียว ที่เธอรักยิ่ง  ท่านหญิงกลุ้มใจมากจึงตัดสินใจคุยกับผีเฟือง
    
    “มันคือบุหลัน....นังบุหลัน...ใช่มันจริง ๆ  มันให้จี้พระนามท่านชายกับลูกสาวมัน เด็กคนนั้นเกิดวันเดียวเดือนเดียว ปีเดียวกับชายเดียว...นังบุหลันมันมีลูกฝาแฝด  ชายเดียวเป็นพี่น้องฝาแฝดกับนังรุ้ง ไอ้ที่คิดว่ามันตาย...มันไม่ตาย”
    
    ท่านหญิงนั่งประมวลทุกอย่างที่สังเกตมาตั้งแต่รุ้งมาอยู่ด้วย  พลางอธิบายให้ผีเฟืองฟังด้วยความมั่นใจ  เฟืองนั่งหน้าเครียดนิ่งเงียบ
    
    “เฟือง...พูดอะไรออกมามั่ง”
    
    “หม่อมฉันทราบแต่แรกว่ามันคือบุหลัน” ผีเฟืองโพล่งออกมา
    
    “เอ๊ะ...แล้วทำไมไม่บอกหญิง” ท่านหญิงถามดุ ๆ
    
    “หม่อมฉันคิดว่ามันไม่ตายด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบได้  คิดว่ามันไปมีผัว มีลูกผู้หญิงอีกคน   ไม่ได้คิดว่านังเด็กรุ้งนั่นเป็นฝาแฝดกับคุณชาย”
    
    “เรื่องฝาแฝดไม่สำคัญ  ลูกสาวมัน มันเลี้ยงมา  แต่ลูกชายสิ...ชายเดียว..เขาเป็นลูกของหญิงนะ มันจะทวงกลับคืนไปมั้ย..เฟือง” ท่านหญิงหวาดระแวง
    
    “ถ้ามันจะทวงมันคงจะทวงตั้งนานแล้ว นะมังคะ มันรู้มาตั้งนานแล้วว่าคุณชายเป็นลูกมัน” ผีเฟืองมั่นใจ
    
    “แต่ถ้าเกิดมันอยากได้ลูกมันคืนขึ้นมาล่ะ  ชายเดียวโตเป็นหนุ่มหน้าตาสะสวยเรียนหมอ มันอาจจะอยากได้คืนให้ตัวมันมีเกียรติขึ้น”ท่านหญิงถามเสียงสั่น เฟืองสีหน้าโหดขึ้น...โหดขึ้น  หัวเราะเสียงแหบพร่าในคอ ท่านหญิงเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ
    
    “เฟือง...แต่อย่าฆ่า...อย่าฆ่ามันนะ”
    
    “เอามันไว้ทำไมมังคะ มันจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ของท่านหญิง” ผีเฟืองย้อนถาม
    
    “ไม่ได้...หญิงไม่ยอมให้เฟืองฆ่าใครอีกแล้ว”
    
    “ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงจะขจัดมันยังไงมังคะ...ถ้าไม่ฆ่า” ผีเฟืองดักคอ
    
    “แต่อย่าให้เขาตาย บาปกรรมหนัก” ท่านหญิงยังกลัวบาป
    
    “หม่อมฉันบาปหนักอยู่แล้ว  จะมีบาปอีกสักครั้ง...ครั้งสุดท้ายจะเป็นไรไปมังคะ...คุณชายเป็นลูกท่านหญิงตั้งแต่เกิดจนเดี๋ยวนี้...มันจะเอาไปไม่ได้  ข้ามศพหม่อมฉันไปก่อน...หม่อมฉันทูลอย่างนี้ล่ะมังคะ ข้ามหม่อมฉันก็ข้ามศพไม่ใช่เหรอมังคะ...มันถึงเวลาแล้วที่นังบุหลันต้องตายจริง ๆ” ผีเฟืองย้ำเสียงเข้ม  
    
    ท่านหญิงนิ่ง ว้าวุ่นในใจความรู้สึกสองฝ่ายกำลังตีกันอย่างหนัก  ผีเฟืองเริ่มจะเลือนราง
    
    “เดี๋ยว...เฟืองอย่าเพิ่งไป”
    
    “ต้องล่อมันให้มาที่นี่  มันต้องมาตายที่นี่”
    
    ผีเฟืองหน้าเหี้ยม แล้วค่อย ๆ จาง
    
    “อย่าเพิ่ง...เฟือง  เดี๋ยวกลับมาก่อน...กลับมาก่อนอย่าเพิ่งไป” ท่านหญิงรู้สึกสับสน
    
    รุ้งกลับจากโรงพยาบาลก็เข้ามาดูแลท่านหญิงจนหลับ รุ้งออกมาจะกลับห้องไปพักผ่อน เจอคุณหญิงทอแสงดักรอพูดจากระแหนะกระแหนหาเรื่องโกหกว่าโดนไล่ออกจากบ้าน  เพื่ออ่อยชายเดียวให้สงสารพามาที่วังรังสิยา
    
    “นี่ชั้นจะบอกให้เธอรู้นะ ว่าถึงยังไงก็ไม่มีใครยอมรับเธอหรอก  เธอมันลูกแม่ค้า  อย่าหวังเลยว่า รังสิยาจะต้อนรับเธอ”
    
    “ฉันไม่เคยหวัง” รุ้งพูดเย็นชามองคุณหญิงทอแสงนิ่ง
    
    “ไม่เชื่อ...จ้างก็ไม่เชื่อ”
    
    “แต่ตอนนี้กำลังคิดว่า...ถ้าจะหวังก็คงไม่ผิดหวังหรอก”
    
    รุ้งไม่อยากจะตอแยด้วยจึงเดินเลี่ยงไปทันที ทอแสงยืนมองจ้องตามหลังรุ้งอย่างกลียดชัง  ผีเฟืองยืนสีหน้าเหี้ยมมองอยู่มุมหนึ่ง...วิญญาณท่านชายรับรู้ว่าวิญญาณของเฟืองกำลังจะเล่นงาน  ทำให้ท่านเป็นห่วงรุ้งมาก  จึงมาเข้าฝันรุ้งและเตือนให้ระวังตัว รุ้งสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของท่านชายได้  
    
    เช้าวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่ดูแลท่านหญิงรุ้งจึงมาขออนุญาตไปกราบท่านชายที่ห้องเก็บกระดูก  ท่านหญิงมองอย่างแปลกใจ ใจเต้นระทึก รู้ดีว่าต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านชายแน่นอน
    
    “ทำไม...ถึงอยากเฝ้าท่านอีก”
    
    “รุ้งฝันถึงท่านมังคะ”
    
    คำตอบของรุ้งทำให้ท่านหญิงถึงกับตะลึงงัน  และรู้สึกเสียใจจนต้องกลับมาที่ห้องไปร้องไห้ฟูมฟายกับผีเฟือง
    
    “ท่านมาหาลูกท่าน  ท่านไม่เคยมาหาหญิงเลยตั้งแต่ท่านสิ้น ลูกของท่านมาอยู่แค่คืนสองคืนท่านมาหา...เฟือง...หญิงเป็นคนไร้ค่าสำหรับท่าน...เป็นอย่างนี้ตลอดมา  ไม่มีแล้ว...หมดแล้วที่เคยรักที่เคยคิดถึง...ไม่มี”
    
    ท่านหญิงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดร้าวราน  นึกถึงคำพูดของท่านชายที่เคยพูดกับเธอในอดีต และเริ่มพรั่งพรูความอัดอั้นตันใจของตนออกมาอย่างสุดจะกลั้น
    
    “พี่จะรักหญิงคนเดียว  พี่ไม่นิยมชายหลายใจมีเมียหลายคน  เราเป็นคนศิวิไลซ์จบจากเมืองนอก ที่นั่น เขามีผัวเดียวเมียเดียว หญิงจะไม่ช้ำใจเพราะพี่...ใครพูด เจ้าพี่จำได้มั้ยคะ เจ้าพี่รับสั่งทั้ง ๆ ที่เจ้าพี่รักกับมันอยู่ แล้วเจ้าพี่ก็เอามันเป็นเมียเอามันมาเหยียบย่ำหัวใจหญิง มันเป็นขี้ข้า เป็นนังคนไม่มีสกุลรุนชาติ เจ้าพี่ยกย่องมัน เพราะอะไร เพราะมันถึงใจกว่าหญิงใช่มั้ย  เจ้าพี่ว่าหญิงเย็นชา  จืดชืด...เจ้าพี่ไม่มีความสุข แล้วมันล่ะ มันขนาดไหน เจ้าพี่ถึงรักถึงหลงมัน รู้องค์มั้ยว่า เจ้าพี่กับมันเหยียบย่ำหัวใจหญิง   หญิงทุกข์ทุกวัน ทนเห็นเจ้าพี่กับมันทุกวัน เจ้าพี่มีความสุขกับมันไม่เคยหันมาดูหญิง เจ้าพี่สิ้นหญิงก็ยังทุกข์เพราะหญิงรัก   คิดถึงเจ้าพี่  แต่วันนี้หญิงหมดแล้ว...ไม่มีอีกแล้ว เจ้าพี่ตายแล้ว...ไม่มีแล้ว...ในนี้มันเคยมี แต่มันไม่มีอีกแล้ว...หญิงมีแต่เฟืองคนเดียว...คนเดียวเท่านั้นที่เป็นเพื่อนหญิง แล้วเจ้าพี่ก็ฆ่าเฟืองฆ่าเพื่อนคนเดียวในโลกของหญิง...เฟืองตายหญิงไม่เคยมีความสุขเลย...เฟือง...ทำไม...เฟืองต้องตาย...เฟือง”
    
    ท่านหญิงสะอึกสะอื้นรำพันชอกช้ำอย่างที่สุด
     
    รุ้งกราบกระดูกท่านชายแล้วก็ออกไป ก่อนจะไปโรงพยาบาลรุ้งก็แวะไปที่ร้านสวนอาหารราตรี เพราะเป็นห่วงบ่าวไพร่ที่นั่นไม่มีงานทำ พอดีฉัตต์เห็นเข้า จึงเดินเข้ามาหา
    
    “ไม่มีอะไรให้ขาย มาทำไม” ฉัตต์ถามเสียงดุ
    
    “มา...หาพวกนั้นค่ะ” รุ้งอ้อมแอ้มตอบ
    
    “มีเรื่องอะไรต้องมาไม่มีอะไรทำ”
    
    “รุ้งขอโทษที่เข้ามาในที่ที่ไม่ควรมา...ต่อไปจะไม่มาอีกแล้วค่ะ...ขอโทษนะคะ” รุ้งบอกเสียงเครือ” เธอจะมาทำไมในเมื่ออยู่ที่วังเธอมีความสุขดีอยู่ บ้านนี้ไม่มีอะไรเทียบได้” ฉัตต์ประชดประชัน
    
    “รุ้งไม่ได้คิดจะอยู่ที่นั่น เวลานี้กำลังหาห้องเช่า ที่ไหน ๆ รุ้งก็อยู่ได้ ลืมแล้วหรือคะว่ารุ้งมายังไง รุ้งมากับแม่...กับนายยอด...ลอยมาตามน้ำเหมือนผักตบชวา ที่ลอยมาติดบันไดท่าน้ำบ้านคุณฉัตต์ เหมือนกองสวะที่สกปรกเกะกะสายตา เพราะฉะนั้นรุ้งอยู่ที่ไหนก็ได้ ขอให้มีที่ซุกหัวนอนก็พอ” รุ้งเอ่ยอย่างจริงใจ
    
    “หยุดสร้างภาพเสียที...ไม่อย่างนั้นเธอจะยอมไปกับชายเดียวทำไม” ฉัตต์ตวาดห้วน
    
    “คุณฉัตต์อย่าคิดแทนรุ้ง คุณไม่ใช่รุ้ง...คุณไม่เคยเข้าใจไม่เคยรู้จักรุ้ง” รุ้งตัดพ้ออยู่ในที
    
    “ทำไมฉันจะไม่รู้จักเธอ ฉันเห็นเธอมาตั้งแต่เล็ก ฉันโตกว่าเธอมากนะ” ฉัตต์บอกอย่างถือดี
    
    “คุณฉัตต์โตกว่ารุ้ง...แต่ใจคุณฉัตต์เล็กกว่ารุ้ง”
    
    ฉัตต์นิ่งอึ้ง มองหน้ารุ้งเพราะไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าพูดเช่นนั้น
    
    “แต่รุ้งขอบคุณคุณฉัตต์ที่ไล่รุ้งออกจากบ้าน คุณฉัตต์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยค่ะ ถูกต้องทุกอย่าง รุ้งทำให้คุณฉัตต์โกรธ รุ้งไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป...รุ้งขอบคุณ เพราะคุณฉัตต์ทำให้รุ้งคิดได้ว่า ควรจะยืนด้วยตัวเองไม่พึ่งใคร นกถึงจะพเนจรมาพักพิงเป็นสุขสบายยังไง มันก็ควรจะไปสร้างรังของตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นกาฝากอยู่ตรงนี้เรื่อยไป คุณฉัตต์เมตตารุ้งมานานมากแล้ว...รุ้งคิดถึงบุญคุณเสมอ...แม้แต่ที่คุณฉัตต์ไล่รุ้งออกจากบ้านก็เป็นบุญคุณ”
    
    พูดจบรุ้งก็ยกมือไหว้ฉัตต์แล้วเดินจากไป ฉัตต์ได้แต่ยืนตะลึง...เวลาต่อมาฉัตต์เดินซึมเข้ามาห้องรุ้ง หยิบรูปรุ้งขึ้นมาดูอย่างอาลัยอาวรณ์กอดรูปรุ้งจนเผลอหลับไปทั้งคืน...ตื่นเช้าฉัตต์เอารูปรุ้งไปวางที่โต๊ะ เปิดลิ้นชักโต๊ะ เห็นจดหมายฉบับหนึ่งเขียนยังไม่เสร็จ ถือวิสาสะหยิบขึ้นมาอ่าน
    
    “พี่ฉัตต์ที่รักของน้อง...ที่รักของน้อง...”ฉัตต์ชะงักอึ้ง รีบตะกุยลิ้นชักได้จดหมายอีกหลายฉบับ ก็ยิ่งตกใจ...ฉัตต์เดินซึม ๆ  ลงมาเห็นยอดนั่งชะเง้อมองทางประตู
    
    “คอยคุณรุ้ง”
    
    ยอดพยักหน้ารับคำ ฉัตต์นิ่งอยู่สักครู่ แล้วเอ่ยค่อย ๆ
    
    “ฉันก็คอยเขาเหมือนกัน”
    
    ยอดตะลึง ฉัตต์มองตา ย้ำคำด้วยสายตา
     
    วังรังสิยา ท่านหญิงนั่งมองจ้องรูปท่านชายด้วยความแค้น แล้วรำพึงรำพันเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะท่านชายเพียงคนเดียว ผีเฟืองหมอบอยู่ใกล้ ๆ
    
    “เจ้าพี่จะอยู่สวรรค์ชั้นไหนก็ตาม...ขอให้รู้องค์ว่าเจ้าพี่ทิ้งความทุกข์อย่างที่สุดไว้กับหญิง ไม่มีอะไรถูกต้องสำหรับหญิงเลย...หญิงเลี้ยงลูกชายของเจ้าพี่ เลี้ยงอย่างเหมือนเขาเป็นลูกที่ออกมาจากท้องหญิง แต่หญิงเลี้ยง หญิงรัก หวังฝากผีฝากไข้ไว้กับเขา แม่เขาก็ปรากฏตัว กำลังจะเอาลูกชายของเขากลับไป ได้ยินมั้ยคะเจ้าพี่ ถึงบุหลันเมียเจ้าพี่มันจะมาเอาลูกมันไป ลูกมันที่หญิงเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด รักถนอมเลี้ยงอย่างดี แต่แม่มันที่ควรจะตายไปแล้ว...มันกลับมา...ไม่ตาย ทำไมหญิงต้องเจอะเจออะไรแบบนี้ เจ้าพี่ทรงตอบได้ใช่มั้ยคะว่า เป็นเพราะเจ้าพี่องค์เดียว ตาย...”
    
    “มังคะ มันทำให้ท่านหญิงของเฟืองเหมือนตายทั้งเป็น...ไว้ชีวิตมันไว้ทำไม”
    
    “เจ้าพี่...เริ่มต้นที่เจ้าพี่”
    
    “มันด้วย มันไม่ยอมก็ได้มังคะ...หม่อมฉันจะฆ่ามัน วิธีนี้มังคะ...ฆ่ามัน...”
    
    ท่านหญิงพยักหน้าน้อย ๆ เฟืองหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน...เมื่ออยู่คนเดียวตามลำพังความรู้สึกผิดถูกต่อสู้กันอยู่ภายในใจท่านหญิงทางด้าน หลวงวิเศษตัดสินใจเรียกลูกสาวมาคุยเพื่อที่จะเปลี่ยนใจอีกครั้ง แต่บัวไม่ยอม เธอยืนกรานที่จะแต่งงานกับฉัตต์ให้ได้ คุณหญิงและปยุตนั่งฟังอยู่ด้วยความเห็นใจทั้งสองฝ่าย
     
    “คุณพ่อคะ คุณพ่อจะรักษาสัญญาก็แล้วแต่คุณพ่อนะคะ แต่มันไม่เกี่ยวกับบัว”
    
    “ไม่เกี่ยวได้ไงในเมื่อฉันจะรักษาสัญญาได้ก็ต่อเมื่อแกหยุด” หลวงวิเศษเสียงกร้าว
    
    “ทำไมบัวต้องหยุด” บัว สวนทันที
    
    “เพราะถ้าแกหยุด...ถอยออกมา ฉันจะได้จัดการให้เป็นอย่างที่คุณพจน์เขาขอฉันไว้”
    
    “บัวทราบแล้วว่า ถ้าบัวถอย คุณพ่อจัดการอย่างที่ว่า แต่บัวถามถึงตัวบัวเองว่าทำไม บัวต้องหยุดในเมื่อฉัตต์รักบัว จะแต่งงานกับบัว บัวไม่ได้ถามถึงผล บัวถามถึงเหตุว่า...ทำไมบัวต้องหยุด” “บัว...ไม่เอานะลูก ค่อย ๆ พูดกับคุณพ่อ” คุณหญิงปรามลูกสาว
    
    “คุณพ่อจะได้ยินหรือคะ ถ้าบัวพูดค่อย ๆ” บัวพูดเสียงเยาะหยัน
    
    “คุณพ่อครับ คุณพ่อฟังน้องมั้ยครับ ถ้ายังไง ๆ คุณพ่อก็ไม่ฟัง คุณพ่อจะรักษาสัญญา บัวก็ไม่ต้องพูด เพราะว่าเสียเวลา” ปยุตเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกลาง
    
    “พ่อต้อง...ต้องรักษาสัญญากับคนที่กำลังจะตาย ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วยทั้งสามคน...แกสองคนมีพ่อที่เกิดมาในชีวิตไม่มีอะไรจะสำคัญเท่าคำมั่นสัญญา นั่นคือสิ่งที่พ่อยึดมั่นมาตลอดชีวิตของพ่อ”
    
    “ถ้าบัวจะพูดว่า บัวก็ต้องรักษาสัญญาเหมือนกันล่ะคะ”
    
    “หมายความว่ายังไง”
    
    “สัญญากับฉัตต์...ว่าบัวจะแต่งงานกับเขา”
    
    หลวงวิเศษนิ่งไปในทันที แม่กับปยุตก็มองหน้าพ่อ พูดอะไรไม่ออก
    
    “คำว่าสัญญาของบัว ก็มีความหมายเท่ากับคำว่าสัญญาของคุณพ่อ”
    
    “ขอให้หยุดไว้ก่อนได้มั้ยคะ ยังมีเวลาที่จะคิดกันทั้งสองคน” คุณหญิงตัดบท
    
    “คุณพ่อจะเข้ากรมหรือเปล่าครับ ผมขับรถให้คุณพ่อนะครับ บอกสนิทให้กลับไปได้”
    
    “บัว...ที่พ่อให้ฟังพ่อตั้งแต่แรก พ่อยังไม่ได้พูดนะลูก จะฟังมั้ย”
    
    ทุกคนมองไปที่หลวงวิเศษ บัวรับคำ  “คุณพจน์บอกกับพ่อ...บอกมาก่อนจะขอสัญญาจากพ่อ ว่า คุณพจน์แน่ใจจากที่เฝ้ามองมานานว่ารุ้งรักฉัตต์”
    
    “ฉัตต์ล่ะคะ”
    
    “ฉัตต์ก็รักรุ้ง เขาเป็นผู้ชายเขาดูออก”
    
    บัวอึ้งไปอึดใจ แล้วยกมือไหว้พ่อ
    
    “บัวขอบคุณคุณพ่อ คุณพ่อหวังดีกับบัว บัวทราบแล้วค่ะ แต่...ถ้าฉัตต์รักษาสัญญาของเขา คุณพ่อก็ต้องเสียสัญญากับคุณพจน์...บัวจะไปถามฉัตต์เดี๋ยวนี้”
    
    พูดจบบัวออกไปทันที ทุกคนพากันนิ่งอึ้ง สีหน้าหมกมุ่น
    
    “เอ...มันไม่แคร์เรื่องความรักเลยรึเนี่ย...ว่าไง”
    
    หลวงวิเศษหันไปถามคุณหญิงกับปยุต
    
    “เอาให้รู้แน่ว่ายังรักษาสัญญารึเปล่า เรื่องความรักค่อยคิดอีกที”
    
    “เอ๊ะ...แบบนั้นมันผู้ชายคิดนะ เอาตัวมาก่อน หัวใจค่อยตามมา”
    
    “ผู้หญิงก็คิดได้” คุณหญิงพูดพึมพำ
    
    “ว่าไงนะ”
    
    “เอ่อ ก็บัวเป็นลูกพ่อไงคะ”
    
    หลวงวิเศษหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินออกไป คุณหญิงและปยุตหันมามองกันแล้วยิ้มอย่างโล่งใจ
    
    “คิดเหมือนผมมั้ยครับคุณแม่...บัวก็เหมือน ทั้งพ่อทั้งแม่แหละ”
    
    “เฮ้ย แต่แม่ไม่เคยสอนแบบคุณพ่อนะ” คุณหญิงอารมณ์ดี
    
    “เรียนรู้ทางอ้อม บางทีแข็งแรงกว่ารับรู้ทางตรงนะครับ บัวเห็นคุณแม่ปฏิบัติกับคุณพ่อมาตลอด เขาเรียกดื้อเงียบ”
    
    “วันนี้ไม่มีใครเงียบซักคน”
    
    “ผมไงครับ...จำเป็นต้องเงียบ”
    
    “รักเขามากหรือลูก” คุณหญิงปลอบใจลูกชาย
    
    “ก็ถูกตาถูกใจครับคุณแม่ เขาน่ารักมาก”
    
    “แม่ก็เชียร์ลูกแม่สิ...ทั้งลูกชายลูกสาวนั่นแหละ”
    
    สองคนหัวเราะกันอย่างชื่นบาน
     
    จริมาหลังจากรู้เรื่องฉัตต์จากในจด หมายของรุ้ง ก็ตัดสินใจเดินทางกลับมาเมืองไทยทันที เพราะรู้ว่าการกลับมาของฉัตต์น่าจะสร้างปัญหาไม่น้อย...เมื่อมาถึงบ้านจริมาได้พบกับบัวที่มาบ้านปัณณธรพอดี สองสาวยืนเผชิญหน้ากัน
    
    “คุณริมา...กลับมาแล้วหรือ”บัวทักทายจริมา
    
    “ที่จริงจะกลับเร็วกว่านี้ เพราะ...สังหรณ์ใจว่าทางเมืองไทย คงมีเรื่องยุ่งยากของพี่ฉัตต์”
    
    บัวจ้องมองจริมา แต่หน้าบึ้งปนเยาะหยันเล็ก ๆ
    
    “คุณบัวทราบได้ยังไงว่า ริมาจะมาถึงวันนี้” จริมาถามบัว
    
    “ไม่ทราบหรอกค่ะ บัวมาหาฉัตต์...เข้าไปคุยข้างในดีมั้ยคะ” บัวเอ่ยชวน
    
    จริมาชะงัก หันหน้ามองบัว หัวเราะเสียงขืน ๆ
    
    “ค่ะ...ริมานึกว่าริมาต้องเป็นคนเชิญคุณบัวเสียอีก”
    
    “ขอโทษนะคะ เผอิญบัวคิดอะไรไกลไปหน่อยค่ะ”บัวออกตัวยิ้ม ๆ
    
    “ไม่เป็นไรค่ะ เชิญ”
    
    จริมาแสดงความเป็นเจ้าของบ้าน...ระหว่างนั้นสารภีเดินมาเห็นจริมา ก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ   “คุณริมา...มาเมื่อไหร่คะ”
    
    “เดี๋ยวนี้เอง เข้าบ้านไม่เจอใครซักคน... อยู่ไหนกันหมด” จริมาเอ่ยถามสารภี   

                             


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

 
แชร์บทความ...
โค้ดแบบ forum
(BBCode)
โค้ดแบบ site/blog
(HTML)