ผู้เขียน หัวข้อ: แค้นเสน่หา วันที่ 27 กรกฎาคม 2556  (อ่าน 386 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ RobotNew

  • Moderator
  • *****
  • กระทู้: 3411
  • Level:
    0%
  • Thank : 0
    • ดูรายละเอียด
    • สะกิดข่าว
    • อีเมล์
แค้นเสน่หา วันที่ 27 กรกฎาคม 2556
« เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2013, 05:50:54 am »

 จริมารู้ทันในท่าทีของพิสินีว่ากำลังจะต่อรอง
    
    “ของอย่างนี้แล้วแต่คุณบัวจะบอกพี่ฉัตต์ก็บอกเถอะค่ะ พี่ฉัตต์รู้วันนี้หรือรู้วันไหนก็ต้องเกิดพายุใหญ่อยู่ดี”
    
    “บัวบอกแล้วไงคะว่าเข้าใจ บัวไม่บอกหรอกค่ะ แค่อยากให้รู้ว่าเกิดอะไรไม่ต้องห่วงคุณฉัตต์ คุณฉัตต์จะมีบัวอยู่ข้าง ๆ เสมอ”
    
    “ริมาชื่นชมค่ะว่าคุณบัวเป็นคนพยายามดี แค่จะบอกว่าพี่ฉัตต์มีคนที่ครอบครัวหมั้นหมายไว้แล้ว คุณบัวคงต้องพยายามขึ้นเป็นสองเท่านะคะ”
    
    สองคนจ้องหน้ากันนิ่ง แบบรู้กันในที แต่หน้าตายังคงยิ้มละไมให้กัน...เมื่อแยกกับฉัตต์และบัวกลับมาที่หอพักจริมาเขียนจดหมายถึงรุ้งทันที...
    
    “เขาต่อรองกับริมาว่า เขาจะคบกับพี่ฉัตต์ ริมาจะต้องไม่ขัดขวางเขา เพราะเขากำความลับของเรา...แล้วเขาก็ดูท่าทีของริมาออกว่าไม่ชอบเขา เขามาเหนือเมฆมากนะตัวเล็ก เป็นคนลึกล้ำ คิดอะไรซับซ้อน และมีแผนตลอดเวลา พี่ฉัตต์เราจะทันเขารึเปล่าก็ไม่รู้...แต่ริมาน่ะตีวงกั้นไว้แล้วเรียบร้อยตัวเล็กไม่ต้องห่วง”
    
    หลายวันต่อมา...รุ้งอ่านจดหมายหน้ายิ้มเยาะหยันตัวเอง หยิบกระดาษรวดเร็ว เขียนรวดเร็ว
    
    “รุ้งไม่ห่วงริมาหรอก แต่ขอออกความเห็นหน่อยนะ เพราะกลัวริมาจะเหนื่อยเปล่าเท่านั้น  ริมาทำอย่างนั้นถามคุณฉัตต์หรือยังว่าอยากให้ริมาขัดขวางมั้ย..เขาเป็นแฟนกันนะอย่าลืม”
    
    รุ้งหยุดคิดสักครู่ ขยำจดหมายจนเป็น  ก้อน ๆ ถอนหายใจแรง ๆ
     
    เมื่อร้านอาหาร “สวนราตรี” เปิดให้บริการ มีลูกค้ามาอุดหนุนมากมายเพราะเป็นอาหารตำรับชาววัง โดยมีจันทร์คอยควบคุมดูแลเรื่องรสชาติและคุณภาพ ทุกคนในบ้านมีความสุขมากที่กิจการร้านอาหารเริ่มต้นได้ด้วยดี
    
    ชายเดียวขับเรือพาท่านหญิง คุณหญิงมาที่ท่าน้ำบ้านปัณณธร จันทร์และคุณหญิงเพ็งเดินเข้ามารับ ท่านหญิงแขไขชมว่าจัดร้านได้สวยงาม แล้วแสร้งถามว่าได้แม่ครัวมาจากไหน ได้ข่าวว่าทำอาหารชาววังเก่งและอร่อยมาก
    
    “อ๋อ...ลูกสาวเพคะเขาเก่ง”
    
    “คุณหญิงส่งลูกสาวไปเรียนทำอาหารที่ไหนหรือ”
    
    “เรียนเองเพคะ เพื่อน ๆ หม่อมฉันสอนให้บ้าง อ่านจากตำราบ้างเพคะ”คุณหญิงเพ็งเตรียมคำตอบไว้
    
    ท่านหญิงแขไขบอกให้จันทร์พาชายเดียวไปนั่งรอที่โต๊ะ เพราะเธอจะให้คุณหญิงเพ็งพาเดินชมต้นไม้รอบ ๆ บ้าน เมื่ออยู่กันตามลำพัง จันทร์ก็ชวนชายเดียวคุย
    
    “ทำไมคุณชายถึงเลือกเรียนหมอคะ”
    
    “ผมตั้งใจตั้งแต่ผมเป็นเด็ก เห็นท่านพ่อเจ็บ บรรทมอยู่บนพระที่ตลอดเวลา...ท่านแม่ถึงไม่เป็นอะไรแต่ท่านชันษามากขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่าต้องเป็นหมอเพื่อมาดูแลท่านครับ”
    
    จันทร์พยักหน้า น้ำตาคลอนิด ๆ
    
    “ท่านพ่อสิ้นเสียก่อน ผมต้องดูแลท่านแม่ต่อไป...คุณน้าร้องไห้..ทำไมครับ”
    
    “ดิฉันร้องไห้เพราะซาบซึ้งค่ะ ถ้าดิฉันมีลูกชายอย่างคุณชาย”
    
    “คุณน้าครับ ขอโทษนะครับ คุณน้ามีรุ้ง...ก็เหมือนกัน รุ้งเป็นลูกสาวที่น่ารักที่สุดของคุณน้าแล้วนะครับ รุ้งก็เหมือนผมเรียนพยาบาลเพราะจะได้ดูแลคุณย่า ดูแลคุณน้า”
    
    จันทร์มองนิ่ง ชายเดียวขยับตัว
    
    “ท่านแม่”
    
    ท่านหญิงเดินเข้ามาที่โต๊ะ พร้อมคุณหญิงเพ็ง จันทร์มองชายเดียวที่เข้าไปประคองท่านหญิงให้นั่งอย่างนุ่มนวล
     
    “ระวังนะคะท่านแม่...สบายหรือยังคะ”
    
    ท่านหญิงนั่งแล้วหันมาสบตากับจันทร์เต็มแรง....ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ จันทร์ที่นั่งอยู่ด้วยเหลือบมองลูกชายที่ปรนนิบัติเอาใจท่านหญิง ยิ้มแย้ม และพูดคุยด้วยความสุภาพ จันทร์รู้สึกสะท้อนใจที่ไม่มีโอกาสได้รับความรู้สึกดี ๆ แบบนี้จากลูกชายเลย
    
    “เป็นอะไรคุณจันทร์...ไม่สบายรึเปล่า”
    
    “เปล่ามังคะ”
    
    “อาหารอร่อยมาก ที่วังท่านชายมีต้นเครื่องคนหนึ่งเขาทำอาหารเก่งมาก ถ่ายทอดวิชาให้หลานสาว แล้วต่อมาหลานสาวคนนั้นก็กลายมาเป็นหม่อมของเจ้าพี่”
    
    จันทร์หน้าขาวซีด ใจเต้นแรง คุณหญิงเพ็งตั้งใจฟัง อุทานเบา ๆ
    
    “ตายจริง เอ้อ...หม่อมฉันไม่เคยทราบว่า...”
    
    “ไม่มีใครรู้หรอก เขาก็อยู่ในวังนั่นแหละไม่มีใครกระโตกกระตากอะไร...ฉันรึ...ฉันจะทำอะไรได้เกิดเป็นผู้หญิง ที่เขาพูดกันว่าน้ำท่วมปาก เป็นยังไงฉันรู้ดีเชียวล่ะ”
    
    “ท่านแม่...ชายไม่ทราบเลยค่ะว่าท่านพ่อทรงมีหม่อมคนอื่น ตอนนี้หม่อมคนนั้นไปไหนแล้วคะท่านแม่”
     
    ท่านหญิงก็หันไปทางจันทร์ ยิ้มให้อย่างมีความนัย จันทร์จำต้องทำหน้าปกติอย่างสุดความสามารถ
    
    “ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ไปไหน แต่เขาก็ตายไปแล้วตายไปจากวังรังสิยา”
    
    “ทำไมดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ไปไหนล่ะคะท่านแม่” ชายเดียวสงสัย
    
    “เขาดูเหมือนไม่ได้ไปไหนจริง ๆ” ท่านหญิงจ้องหน้าชายแน่วแน่
    
    “แต่เขาก็ไป ดีแล้วค่ะที่ชายไม่ได้พบเขา”
    
    “ถ้าพบชายทำยังไงเหรอจ๊ะลูกรัก”
    
    ท่านหญิงถาม เสียงเย้า ๆ ยิ้มให้ชายเดียวอย่างรักใคร่ จันทร์ฝืนทำหน้าปกติ
    
    “ชายจะไม่ทำอะไรเขาหรอกค่ะท่านแม่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะท่านพ่อกับตัวเขาคนนั้น  ชายเป็นลูกท่านพ่อชายจะก้าวก่ายกับเรื่องของท่านพ่อหรือกับคนที่ยอมทำผิดกับท่านพ่อไม่ได้”
    
    “ชายจะไม่ทำอะไร” ท่านหญิงถามน้ำเสียงแบบจงใจ
    
    “ค่ะ ไม่ทำอะไร แต่ชายคงจะเกลียดเขา เพราะเขาทำร้ายท่านแม่ ชายคงจะหลีกเลี่ยงไม่พูดกับเขาไม่มองหน้าเขา ชายไม่ยกโทษให้เขา แต่ชายจะไม่ลงโทษเขา...เขาจะเหมือนฝุ่นละอองที่ลอยไปลอยมา ไม่มีความหมายในสายตาของชาย”
    
    ท่านหญิงฟังแล้ว น้ำตาขึ้นมาคลอเต็มตา เช่นเดียวกับจันทร์
    
    “ชายเดียว...ลูกชายแม่ ...ลูกรักของแม่”
    
    ท่านหญิงอ้าแขน โอบชายเดียวเข้าไปแนบแน่น ชายเดียวกอดแม่อย่างปลอบโยน จันทร์ปล่อยน้ำตาไหลพรากอย่างกลั้นไม่ได้ ท่านหญิงเหลือบมองเห็นแสร้งถามว่าจันทร์ร้องไห้ทำไม จันทร์ก้มหน้ารีบซับน้ำตา
    
    “คุณน้าครับ...ขอบคุณครับที่คุณน้าเห็นใจเรา”
    
    “ค่ะ...คุณชาย”
    
    ท่านหญิงแขไขค่อนข้างแน่ใจว่าจันทร์คือบุหลัน เพียงแต่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมมาเป็นลูกคุณหญิงเพ็ง ทำไมถึงมีลูกสาวอีกคน
    
    “เอ้อ...เขามีลูกมั้ยคะท่านแม่” ชายเดียวโพล่งถามขึ้น
    
    “ไม่มี...ชายเป็นลูกแม่คนเดียว” ท่านหญิงตอบเสียงเข้ม
    
    ก่อนกลับท่านหญิงแขไขเอ่ยถามถึงรุ้ง คุณหญิงเพ็งบอกว่าตอนนี้ฝึกงาน เพราะใกล้จะจบแล้ว
    
    “ทำไมรุ้งไม่เรียกคุณหญิงว่ายายล่ะคะ”
    
    จันทร์ตกใจเล็ก ๆ คุณหญิงก้มลงเขี่ยอะไรบางอย่างที่ติดชายซิ่นเหมือนใช้ความคิด
    
    “ควรจะเป็นอย่างนั้นเพคะ แต่เด็ก ๆ ชอบเรียกตามกัน หม่อมฉันก็เลยไม่ว่าอะไร”
    
    ท่านหญิงหันมามองจันทร์ ก่อนจะลงเรือกลับไป
     
    คุณหญิงทอแสงมาหาชายเดียวที่วังรังสิยา ได้ยินเขาเอ่ยชมอาหารที่จันทร์ทำและชื่นชมไปถึงรุ้งให้ผ่องฟัง เธอไม่พอใจมากจึงคิดเล่นงานรุ้งด้วยการหาที่อยู่จากจดหมายที่ชายเดียวเขียนติดต่อกับฉัตต์ จากนั้นคุณหญิงทอแสงก็ส่งจดหมายไปถึงฉัตต์ในนามผู้หวังดี... และไม่กี่วันต่อมาฉัตต์ได้อ่านจดหมายนั้น....
    
    “คุณฉัตต์ ปัณณธร คุณคงยังไม่รู้หรอกว่าที่บ้านของคุณมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ของคนที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของบ้าน...เราไม่เห็นเหตุผลอะไรที่เขาไม่บอกคุณว่าคุณพ่อของคุณเสียชีวิตแล้ว เราหวังดีถึงเขียนมาบอกคุณ คุณรู้มั้ย เรื่องนี้ใครเป็นตัวการ...คนที่เป็นตัวการชื่อรุ้ง...เขาวางแผนทุกอย่าง เขาไม่ให้บอกคุณ พ่อคุณตายทั้งคนปิดลูกชายทำไม คนชื่อรุ้งนี่แหละ..เป็นคนเอาบ้านคุณไปทำร้านอาหาร ตอนนี้บ้านปัณณธรที่สวยงาม และมีเกียรติของคุณเป็นร้านอาหาร มีคนเยอะแยะเดินเหยียบย่ำที่บ้านคุณทุกวัน เขาเอาบ้านคุณไปหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง”
    
    ฉัตต์หน้านิ่งอย่างน่ากลัว มือเขาหยิบรูปรุ้งที่คว่ำอยู่ในลิ้นชักขึ้นมา แล้วกระแทกบนโต๊ะอย่างแรง ฉัตต์ยืนมือเท้าโต๊ะทั้งสองมือ ก้มหน้านิ่ง แค้นใจสุดขีด
    
    หลายวันต่อมา บัวไม่สามารถติดต่อฉัตต์ได้ เธอจึงมาหาที่หอพัก เมื่อฉัตต์เปิดประตูออกมาใบหน้าหมองคล้ำ ผมยุ่ง เคราเต็มแก้ม บัวตกใจถามว่าเขาเป็นอะไร
    
    “คุณพ่อผมเสียตั้งแต่เมื่อไหร่...เมื่อไหร่บอกผมมา รู้นะว่าคุณรู้” ฉัตต์ถามเสียงเย็นฉียบ
    
    บัวใจหายวาบ ก่อนจะจูงมือฉัตต์เข้ามานั่งในห้อง
    
    “ฉัตต์คะ... นั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวบัวจะพูดให้ฟังทั้งหมด”
    
    ฉัตต์หน้าเครียดมาก บัวไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง จึงคุกเข่าตรงหน้า
    
    “บัวทราบ แต่เห็นคุณไม่ทราบเรื่องอะไรเลยตั้งแต่คุณพ่อคุณเริ่มเจ็บ”
    
    “นานหรือยัง”
    
    “หลายเดือนแล้วค่ะ”
    
    “หลายเดือน! แล้วทำไม ทำไม..ทำไมต้องปิดผม” ฉัตต์เสียงดังเข้ม
    
    “บัวก็แปลกใจเหมือนกัน”
    
    “ผมจะไปโทรศัพท์” ฉัตต์ลุกไปหยิบโค้ตที่แขวนอยู่ข้างฝา
    
    “หาคุณริมาเหรอคะ”
    
    บัวบอกฉัตต์ไปตรง ๆ ว่า จริมารู้แล้ว และไปงานศพด้วย ก่อนที่ฉัตต์จะไปพบเธอด้วยซ้ำ
    
    “คุณริมาขอไม่ให้บัวบอกคุณฉัตต์..บอกว่าคุณพ่อไม่ให้บอก...เพราะอะไรนั้น ฉัตต์ถามน้องเองเถิดนะคะ บัวเกรงว่าพูดไปแล้วไม่ตรงกับความจริง”
    
    “ไม่...บอกผมมาบัว...บัวต้องบอกผม”
    
    “บัวฟังไม่ค่อยเคลียร์อย่าให้บัวพูดเลยนะคะ”
    
    “จะยังไงก็ตาม จริมาโกหก ผมเป็นลูกชายคนเดียวคุณพ่อต้องไม่ทำอย่างนั้นทุกคนเป็นบ้าไปหมด แล้วผมรู้ว่ามีคนเสี้ยมสอน..ผมรู้ว่าเป็นใคร”
    
    “ฉัตต์คะ...ฉัตต์ต้องใจเย็นไว้ก่อนนะคะ บัวว่าต้องมีเหตุผลที่จำเป็นนะคะ”
    
    “ผมยอมรับไม่ได้..สังเกตเหมือนกันว่าก่อนผมมาคุณพ่อมอบสิทธิขาดให้คน ๆ หนึ่ง ผมสังหรณ์อยู่แล้ว...รู้อยู่แล้วว่าคนที่มามือเปล่าต้องพยายามกอบโกยให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ตอนนี้คุณพ่อเสียไปแล้ว...เสียเพราะอะไร...เสียเพราะใคร”   

                             


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

 
แชร์บทความ...
โค้ดแบบ forum
(BBCode)
โค้ดแบบ site/blog
(HTML)