“ฉันพูดเหรอ”
“คิดว่าไม่ได้พูดเหรอคะ...คิดว่ารุ้งพูดเองเหรอคะ”
“ฉันพูดเมื่อกี้เหรอ” ฉัตต์ย้อนถาม
“คุณฉัตต์คิดว่าพูดเมื่อไหร่ล่ะคะ”
“พูดเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ไม่ได้พูดเมื่อกี้แน่นอน” ฉัตต์มิวายเถียง
“แต่พูด...”
“ก็ได้ แต่...ไม่ใช่เมื่อกี้”
“จะพูดเมื่อไหร่ก็เหมือนกัน พูดจนใครตายไปข้างหนึ่งซึ่งคงจะเป็นรุ้ง ความคิดแบบนี้ก็ไม่หายไป รุ้งหมดปัญญาที่จะทำให้คุณฉัตต์เปลี่ยนความคิดแล้วค่ะ หมดปัญญาแล้วจริง ๆ... พยายามแล้วแต่ทำไม่ได้...ทำไม่ได้”
รุ้งร้องไห้ออกมาแล้ววิ่งจะหนีไป ฉัตต์คว้าแขน สะบัดมายืนประจันหน้ากัน มองตากัน สักครู่รุ้งก้มหน้า ขยับตัว
“อย่าเพิ่งไป...คืนนี้เราจะลอยกระทงกัน พรุ่งนี้ฉันจะเดินทางแล้ว กลับจากโรงเรียนเร็ว ๆ นะ ชายเดียวจะมาทานข้าวด้วย เลี้ยงอำลา ฉันจะออกเดินทางประมาณสองทุ่ม...ก่อนไป ฉันมีอะไรจะพูดกับเธอ” ฉัตต์สั่งจริงจัง
“อะไรคะ” รุ้งสงสัย
“เธอจะรู้ก่อนฉันไป” ฉัตต์บอกยิ้ม ๆ สบตารุ้งอย่างมีความหมาย
ค่ำคืนนั้น พระจันทร์เต็มดวง ครอบครัวคุณหญิงเพ็งพากันมาลอยกระทงที่คลองท่าน้ำ แต่กระทงของพจน์กลับคว่ำลง จันทร์เห็นเช่นนั้นรู้สึกใจไม่ดีสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น...เมื่อกลับมาถึงบ้าน เห็นพจน์ไอเป็นเลือด จันทร์ตกใจ จึงคาดคั้นถามอาการของพจน์
“ถ้าคุณพี่ยังพูดว่าไม่เป็นไร ดิฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ จะไม่พูดกับคุณพี่อีกเลย...คุณพี่ปิดบังทำไมคะ ไม่ทราบหรือคะว่าทุกคนเป็นห่วง ดิฉันเตือนให้คุณพี่ไปหาหมอตั้งหลายครั้งแล้ว...คุณพี่ไม่ฟังกันเลย” จันทร์ต่อว่าพลางร้องไห้
พจน์ไอจนหอบตัวโยน จันทร์พยุงให้นั่ง
“คุณหลวงแพทย์รักษาอยู่ ไม่อยากให้คุณแม่ไม่สบายใจ และฉัตต์พะวักพะวงไม่อยากไปเรียนต่อ จันทร์...น้องต้องไม่พูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตาฉัตต์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...เขาจะรู้ไม่ได้เป็นอันขาด พี่ต้องการให้เขาเรียนจนจบ ไม่ให้กลับบ้านจนกว่าจะจบ” พจน์บอกจริงจัง
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” จันทร์ทวนคำอึ้ง ๆ
“จันทร์...สัญญากับพี่...จันทร์ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่น้องต้องเข้มแข็ง เป็นหลักให้ทุกคนในบ้าน...เข้าใจไหม” พจน์ขอร้องจันทร์
พจน์ลุกไปเปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบถุงกระดาษออกมาใส่ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือด จันทร์รีบเข้าไปหาพจน์
“ให้ดิฉันเถอะค่ะ”
“ขอบใจ พี่ยังไม่เป็นอะไรง่าย ๆ”
“ดิฉันก็จะไม่ยอมให้คุณพี่เป็นอะไรง่าย ๆ เหมือนกัน ต่อไปนี้ดิฉันจะคอยดูแลคุณพี่ให้มาก กว่าเดิม คราวหน้าถ้าคุณพี่ไปหาคุณหลวงแพทย์ ดิฉันจะตามไปด้วย จะได้รู้วิธีรักษาพยาบาล ดิฉันจะไม่ยอมทอดทิ้งความหวังหรืออยู่ในความทุกข์โศก...ตัวดิฉันยังผ่านความตายมาได้ แล้วทำไมคุณพี่จะอยู่ต่อไปไม่ได้” จันทร์บอกอย่างเด็ดเดี่ยว
“อย่าตกใจมากเกินไป...หมอที่ชำนาญทางโรคปอดโดยเฉพาะดูแลพี่อยู่ พี่ไม่ได้เป็นฝีในท้อง หมอสมัยใหม่เรียกโรคนี้ว่า ไมโครแบคทีเรียอะไรนี่แหละ ไม่ใช่โรคติดต่อ”
“คุณพี่คงคิดว่าดิฉันกลัว ไม่หรอกค่ะ เพราะดิฉันจะเป็นคนสุดท้ายที่จะไม่หนีคุณพี่ไปไหน...คุณพี่กรุณารับดิฉันและลูกเป็นคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นดิฉันไม่มีวันทิ้งคุณพี่” จันทร์ยืนยันจะดูแลพจน์
พจน์กุมมือจันทร์ไว้ทั้งสองข้าง น้ำเสียงที่พูดตื้นตัน
“พี่เป็นคนโชคดีที่ในชีวิตได้พบผู้หญิงที่ดีพร้อมถึงสองคน ราตรีกับจันทร์พี่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว”
“ดิฉันต่างหากควรเป็นคนที่กล่าวคำนั้น” จันทร์เอ่ยเสียงเครือน้ำตารื้นด้วยความสะเทือนใจ
และแล้วในคืนต่อมา หลังจากที่ทุกคนเลี้ยงส่งฉัตต์เสร็จ ฉัตต์ก็เตรียมตัวออกเดินทาง
“ส่งข่าวถึงพี่บ้าง จำไว้นะพี่คงเหงาถ้าอยู่ทางโน้น น้องขี้เกียจเขียนจดหมายก็วานตัวเล็กเขียนได้นี่...ยาว ๆ นะ”
ฉัตต์พูดเป็นนัย ๆ แต่จริมารู้ทัน
“โอ๊ย..ไม่ได้หรอก น้องรู้ว่าพี่ฉัตต์เกลียดตัวเล็กจะตาย ขืนให้ตัวเล็กเขียน ความดันขึ้นเส้นเลือดแตกตาย น้องจะทำยังไง มีพี่ชายกับเขาอยู่คนเดียวเท่านั้น” จริมาแกล้งพูด
“ตามใจ ขอแค่นี้ไม่ได้ ก็ตามใจ” ฉัตต์ทำเป็นงอน
“โอ๋...โอ๋ งอนอีกแล้ว เจ้าค่ะ จะทำตามอย่า ร้องไห้นะ”
จริมาฝืนยิ้มระรื่นทั้งที่กลั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่ เข้ามากอดพี่ชายด้วยความรัก...จากนั้นทุกคนตามมาออรอส่งฉัตต์ที่หน้าบ้าน จันทร์ได้แต่ยืนมอง
“คุณน้าจันทร์ครับ...ทำไมคุณน้าไม่ไปส่งพี่ฉัตต์ละครับ คุณรุ้งกับคุณริมาก็ไปกันหมด” ชายเดียวเอ่ยถาม
“เด็ก 2 คนกลัวไปร้องไห้หยุดไม่ได้ค่ะ ส่วนดิฉันต้องดูแลคุณหญิงก็เลย...ลากันตรงนี้” จันทร์ให้เหตุผล
ระหว่างนั้น ฉัตต์เดินกลับมาตามหารุ้ง
“อย่าลืมเหลาไม้เรียวไว้ตีฉันเวลาฉันกลับมา”
ฉัตต์กระเซ้า รุ้งยิ้มเขิน ๆ แล้วส่งกล่องขนมให้ ฉัตต์มองอย่างสงสัย
“ขนมทองเอก ที่คุณฉัตต์ชอบค่ะ”
“ขอบใจ...ฉันมีอะไรให้เธอเหมือนกัน...” ฉัตต์รับกล่องขนมมองรุ้งลึกซึ้ง
“อะไรคะ” รุ้งสงสัย
“อยู่ห้องหน้ามุข...ใช้มันบ่อย ๆ นะ” ฉัตต์กำชับเป็นนัย ๆ
“ไม่ทราบว่าเป็นอะไร...แต่ขอบคุณค่ะ” รุ้งยกมือไหว้
“ตอนนี้ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม...เล่นเปียโนให้ฟังสักเพลง...ร้องด้วยนะ”
“คุณฉัตต์อยากฟังเพลงอะไรคะ”
“ฉันวางโน้ตไว้บนเปียโนแล้ว”
รุ้งรีบวิ่งไปที่ห้องหน้ามุขทันที เห็นแกรนด์เปียโนวางอยู่ เธอยิ้มอย่างยินดี แล้วลงมือเล่นและร้องด้วย
“โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง โอ้ดึกแล้วหนอ พี่ขอลาล่วง...อกพี่เป็นห่วง รักเจ้าดวงเดือนเอย”
รุ้งร้องเพลงอย่างมีความสุข ขณะที่ฉัตต์ ได้ยินเพลงก็ใจร้าวรอนจนแทบระเบิด แต่พยายามระงับใจ พจน์เดินมาตาม ฉัตต์เดินไปไหว้ลาจันทร์และทุกคน และให้คำมั่นว่าอีก 5 ปีเขาจะกลับมาพร้อมความสำเร็จ ฉัตต์เดินเลยมาจนถึงยอดแล้วจ้องหน้า ยอดหลบตาแล้วไหว้ ฉัตต์ปัดมือยอดไม่ให้ไหว้ ฝากดูแลบ้านด้วย ยอดรับคำอย่างปีติ
รุ้งร้องเพลงถึงท่อนสุดท้าย ได้ยินเสียง สตาร์ตรถ เธอตกใจลุกพรวดแล้ววิ่งออกไปดู เห็นฉัตต์กับชายเดียวยืนอยู่ข้างรถกำลังจะขึ้น รุ้งน้ำตาคลอยกมือไหว้ฉัตต์ ต่างคนต่างมองกัน แล้วฉัตต์ก็ตัดใจขึ้นรถ ตามด้วยชายเดียว แล้วรถก็แล่นออกไป รุ้งน้อยใจจึงเดินเลี่ยงไปนั่งเศร้าที่ริมน้ำ
“โกรธพี่ฉัตต์หรือตัวเล็กที่เขาไม่ลา”
จริมาเข้ามาถาม รุ้งพยักหน้าตอบรับ
“ทำไม...”
“อยู่บ้านเดียวกันนะ เกลียดแค่ไหนไปตั้งหลายปีก็ควรจะลา...รุ้งอยากลาคุณฉัตต์...ทำไมเขาไม่ให้ลา”
“บางทีนะ... ที่ไม่ยอมให้ลา ก็ไม่ใช่เพราะเกลียดก็มี้...จิตมนุษย์นี่ไซร้ยากแท้หยั่งถึง...อย่างที่พูด...ไปดีกว่า...เศร้าทำไม...เดี๋ยวเดียวจดหมายก็มา”
พูดจบจริมาก็เฉไฉเดินเลี่ยงไป เพราะไม่อยากจะบอกรุ้งว่าฉัตต์ไม่ได้เกลียดเธอ แต่กลับมีความรู้สึกพิเศษกับรุ้งต่างหาก จึงได้ทำตัวเช่นนี้กับเธอ
ตั้งแต่ฉัตต์ไปเรียนที่เมืองนอก ชายเดียวก็แวะเวียนมาหารุ้งกับจริมาที่บ้านปัณณธรอยู่เสมอ ๆ ทำให้ท่านหญิงเริ่มน้อยใจชายเดียว
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง