“ได้พูดกันรึเปล่าลูก”
“เปล่าค่ะ ชายว่า เขาแปลก ๆ เวลาพบชาย น้าจันทร์จะอึกอักไม่ค่อยพูด ได้แต่มอง” ชายเดียวพูดตามความจริง
ท่านหญิงนิ่งอึ้ง แล้วโบกมือให้ชายเดียวออกไป ชายเดียวจูบแก้มแม่เบา ๆ แล้วออกไป ท่านหญิงนอนลืมตามองเพดานสักครู่ น้ำตาก็ขึ้นมาเต็มตา พลิกตัวนอนตะแคง น้ำตาไหลผ่าน
“เฟือง ถ้าเป็นอย่างที่คิด หญิงคงทนไม่ได้...เฟือง ได้ยินหญิงรึเปล่า...อยู่ไหน ได้ยินมั้ย” ท่านหญิงพลิกตัว นอนคว่ำหน้าสะอื้นเบา ๆ เฟืองคุกเข่าข้างเตียง มือลูบแขนท่านหญิง ปลอบ
พจน์เห็นว่าฉัตต์เรียนจบแล้ว จึงเตรียมตัวจะส่งเขาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ซึ่งฉัตต์ไม่ขัดข้อง เพราะรู้หน้าที่ดีอยู่แล้ว
“ตั้งใจเรียนนะลูก วันหนึ่งฉัตต์ต้องไปเรียนต่อ จะได้กลับมาเป็นเกียรติเป็นศรีกับวงศ์สกุล ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ...เข้าใจมั้ยลูก” คุณหญิงเพ็งกำชับฉัตต์
“เข้าใจครับคุณย่า”
“ริมาล่ะคะคุณย่า ริมาต้องเรียนต่อรึเปล่าคะ” จริมาโพล่งถามขึ้น
“ริมาก็ต้องไปเมื่อเรียนจบ” พจน์บอกลูกสาว
“อ้าว ! ทำไมคะ ริมาไม่เกี่ยว...ริมาเป็นผู้หญิงนะคะ” จริมาโวยวาย
“อย่า...อย่าอ้างเรื่องผู้หญิง การศึกษาไม่มีผู้หญิงผู้ชาย เกลียดนักคนที่คิดว่าลูกชายต้องเรียนมากกว่าลูกสาวเนี่ย ได้ยินเมื่อไหร่โมโหขึ้นสมองทุกที ว่าไงริมา...เรียนจบชั้น ม.8 ก็ต้องไป...เข้าใจมั้ยริมา” คุณหญิงเพ็งบอกเสียงดุ
“เปลืองตังค์” จริมาถอนใจ
“พ่อเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว มีพอสำหรับรุ้ง ถ้ารุ้งอยากไปเรียนต่อ ประเทศใกล้ ๆ นี้” พจน์บอกลูกสาว “รุ้งจะเรียนพยาบาลค่ะ เรียนในเมืองไทย”
ทุกคนหันขวับมาทางรุ้ง เว้นจันทร์ที่รู้แล้ว
“ตัวเล็ก...โธ่ ไม่ต้องหรอกนะ คุณย่า คุณพ่อไม่สบาย ก็มีโรงพยาบาล มีหมอ ตัวเล็กเรียนมหาวิทยาลัยเถอะ อย่างที่เคยฝันไว้ไงล่ะ”
จริมาคะยั้นคะยอ แต่รุ้งส่ายหน้า เหลือบไปสบตากับฉัตต์ที่แม้จะสีหน้าบึ้งแต่สายตาลึกซึ้งยิ่งนัก...เวลาต่อมารุ้งเดินอยู่ในสวน เห็นนกบาดเจ็บจึงอุ้มมาพยาบาล ฉัตต์ หอบหนังสือจะไปที่ท่าน้ำเหลือบเห็นรุ้ง จึงเดินเข้าไปหา “อยากเป็นพยาบาลนักเหรอ”
“เป็นก็ได้ค่ะ”
“หมายความว่ายังไง อ้อ...แสดงว่าจำยอม เพราะตอบแทนถึงต้องจำใจเรียนเหรอ”
“ทำไมชอบหาเรื่องคะ” รุ้งมองตาฉัตต์ตรง ๆ
“จริงมั้ยล่ะ” ฉัตต์เสียงกวน ๆ
“คุณฉัตต์จะต้องแคร์ทำไมคะ รุ้งอยากดูแลคุณย่าคุณลุงอย่างดี รุ้งก็ต้องเรียนให้รู้วิธี จะเพราะอะไรสำคัญแค่ไหนคะ”
“สำคัญ เพราะถ้าไม่เต็มใจ ทำโดยเป็นภาระจำยอมฉันก็ไม่ต้องการให้ทำ”
“ถ้ารุ้งบอกว่าเต็มใจคุณฉัตต์จะเชื่อมั้ยคะ”
“ก็ไม่แน่ เพราะเธอมันเจ้าคารม พูดอะไรออกมาทีนึง ฉันก็ต้องคิดว่าหมายความว่ายังไง”
“เพราะรุ้งพูดอะไรตรง ๆ ไม่ได้ไงคะ”
“เห็นมั้ย...ฉันก็ต้องถามอีกว่าหมายความว่ายังไง”
“ไม่เหมือนคุณฉัตต์ นึกอยากจะพูดว่าเกลียดใครก็พูด...พูด...พูด...วันละ 3 เวลาหลังอาหารแต่รุ้งพูดไม่ได้ไงคะ”
ฉัตต์จ้องมองนัยน์ตาตรง ๆ
“เธอเกลียดฉันมากใช่มั้ย...ว่าไง”
“รุ้งจะไม่เกลียดคนที่เกลียดรุ้งได้ไงคะ”
“แล้วไม่เกลียดใคร” ฉัตต์นัยน์ตาเป็นประกายดุ
รุ้งอึกอัก ฉัตต์จับสองแขนเขย่าแรง ๆ รุ้งอึด ไม่ร้อง
“กวนประสาท”
“ไปเมืองนอกก็ไม่มีคนกวนแล้วค่ะ”
“กวนตลอดเวลา...เกลียดจริง” ฉัตต์ปล่อย แขนรุ้ง
รุ้งมีสีหน้าเสียใจอย่างที่สุด มองหน้าฉัตต์นิ่ง ฉัตต์ใจหายวับ สายตานั้นตัดพ้อต่อว่า แล้วเจ้าของสายตาก็หันหลังกลับ วิ่งจากไปทันที ฉัตต์ตกใจ รีบวิ่งตามทัน จับแขนรุ้งให้หันมาเผชิญหน้า ต่างคนต่างมองกัน ความในใจอัดแน่นรุ้งปลดมือฉัตต์ออกอย่างละมุนละม่อม
“รุ้งดีใจกับคุณฉัตต์จะได้ไปไกลจากคนที่เกลียด”
รุ้งพูดจบก็เดินออกไปทันที ฉัตต์ได้แต่อึ้ง...
ก่อนที่ฉัตต์จะเดินทางไปเรียนต่อที่เมืองนอก รุ้งที่อยากจะคืนดีกับฉัตต์ที่นอนเล่นอยู่ แต่พอฉัตต์เห็นรุ้งเขาก็ออกปากไล่เธอ ทำให้รุ้งเสียใจลุกจะเดินไป
“เป็นอะไร” ฉัตต์ถามห้วน ๆ
“จะโกรธไปจนตายมั้ย เรื่องไม่เป็นความจริง...เมื่อไหร่จะเลิกเอาความผิดใส่คนอื่นเสียที” รุ้งถามอย่างอึดอัดใจ
“อะไรกัน”
“คุณฉัตต์พูดอย่างเนี้ยเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง...เบื่อที่สุด”
“พูดว่าไง”
“มาทำดี...คิดว่าจะลบล้างความผิดของพวกตัวเองเหรอ...อย่าหวังเลย”
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง