ผู้เขียน หัวข้อ: สุภาพบุรุษจุฑาเทพ"คุณชายรณพีร์" วันที่ 17 มิถุนายน 2556  (อ่าน 373 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ RobotNew

  • Moderator
  • *****
  • กระทู้: 3411
  • Level:
    0%
  • Thank : 0
    • ดูรายละเอียด
    • สะกิดข่าว
    • อีเมล์

 “เวลาคุณรำ คุณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับบทเพลง เวลาผมบิน ผมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเครื่องบิน เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับสิ่งที่เรารัก”
    
    เท้าของเพียงขวัญหยุดกึก มือเพียงขวัญชักออกฉับ รณพีร์อึ้งไปด้วยราวกับโลกหยุด เพียงขวัญหยุดตกตะลึงกับคำที่ตนเองกลัว มือของรณพีร์ยกขึ้นจะจับเพียงขวัญใหม่ เพียงขวัญไม่ยอม ถอยห่างออกไปแทบจะทันที รณพีร์ใจเสีย เพียงขวัญกลัวความรักจริง ๆ
    
    “ฉันกับคุณบอกลากันไปแล้ว วันนี้ฉันแค่อยากทำตามความฝันของประณต”
    
    “ผมเป็นทหาร เป็นนักบิน ไม่มีใครรู้จักความกลัวเท่ากับทหารที่พร้อมตายทุกเมื่อ เพื่อชาติ คุณกลัวความรัก ถึงขนาดบอกกับตัวเอง ว่าจะไม่มีคู่รัก จะไม่แต่งงาน ชีวิตที่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอะไร ก็เหมือนคนตายไปแล้ว”
    
    “ความกลัวช่วยปกป้องชีวิตเรา สอนให้เราระวัง ใคร ๆ ก็รู้จักกลัว เวลามีฝนฟ้าคะนอง ตอนที่บินอยู่ คุณไม่กลัวงั้นหรือ”
    
    “รู้ไหม ท้องฟ้าสวยที่สุดตอนไหน ตอนที่คุณบินฝ่าเมฆฝน ไปถึงตรงที่ฟ้าเจิดจ้า เวลาที่เราเอาชนะความกลัวได้ เราจะมีความสุข มีความภาคภูมิใจในตนเอง”
    
    “ฉันเกิดมาเป็นคนแบบนี้ มีครอบครัวอย่างที่คุณเห็น คุณพีร์คะ เรายืนอยู่คนละแห่งที่ คุณไม่ใช่ฉัน คุณจะมาคิด มาตัดสินฉันไม่ได้ค่ะ”
    
    “อย่ากลัวที่จะรักเลยครับ ความรักเป็นสิ่งสวยงาม จรรโลงโลก คิดดูสิ ถ้าพ่อแม่คุณไม่รักกัน โลกนี้ก็ไม่มีคนสวยอย่างคุณ มาประดับโลก”
    
    “โลกมีของสวย ๆ งาม ๆ ตามธรรมชาติอยู่เยอะแล้ว ดอกไม้ ผีเสื้อ แม่น้ำลำธาร”
    
    “บางที ธรรมชาติก็โหดร้ายกับเรานะครับ แต่ความรัก ทำให้เรามีความสุขเสมอ” 
    
    “เป็นทุกข์เสมอต่างหาก ฉันจะไม่เอาชีวิตไปติดบ่วงทุกข์ เพราะความรักอีก”
    
    เพียงขวัญหน้าตาจริงจัง ยึดมั่นในสิ่งที่พูด รณพีร์กลุ้ม เหนื่อย ผู้หญิงคนนี้มีอะไรมากมายที่เข้าถึงยากจริง ๆ
    
    เพียงขวัญให้ลุงข้างบ้านขับรถมารับที่กองบิน หญิงสาวไม่ยอมให้รณพีร์พากลับไปส่งที่บ้าน รณพีร์บอกประณตว่าถ้าอยากเป็นนักบินก็ต้องไม่หนีโรงเรียนอีก และต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง ประณตมุ่งมั่นอยากเป็นนักบิน รับปากจะพยายามสอบให้ได้ที่หนึ่ง
    
    “วันนี้ผมเรียนการใช้จ๊อยสติ๊กแล้วนะ จ่าละไมสอน ไว้คราวหน้าผมจะมาเรียนอีก”
    
    “ไม่มีคราวหน้า เราจะไม่รบกวนคุณพีร์อีกแล้ว วันนี้พอแค่นี้เถอะประณต เอาไว้สอบเป็นนักบินได้เมื่อไหร่ ค่อยมาที่นี่ใหม่ ไปเถอะ ลุงเขารอนานแล้ว”
    
    เพียงขวัญดึงมือประณตเดินจากไป รณพีร์หัวใจเหลือแค่ครึ่งเดียว เศร้าสุด ๆ
     
    รัชชานนท์กับสร้อยฟ้า ส่งรูปโรงเรียนที่เพิ่งสร้างเสร็จมาให้ทุกคนดู พร้อมทั้งเขียนจดหมายเล่าเรื่องสถานการณ์ที่เวียงพูคำให้ทุกคนได้รับรู้
    
    “ชาวเวียงพูคำ โชคดี มีเจ้าหลวง เจ้าหญิงองค์ใหม่ ทรงงานหนักเพื่อประชาชน”
    
    มะปรางเห็นด้วยกับกรองแก้ว “นายพลเซกองโดนจับติดคุกหลวงไปแล้วสงครามยุติแล้วคงได้พัฒนาประเทศอย่างจริงจังเสียที”
    
    “ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ เจ้าวีระวงศ์ เจ้าหลวงหุ่นเชิดที่นายพลเซกองเคยหนุนหลัง ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ยุยงชนกลุ่มน้อยแถวชายแดน ตั้งเป็นค่ายทหาร สะสมกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ จดหมายของชายเล็กยืนยันมาอย่างนั้น” ธราธรรีบอธิบาย
    
    “เวลานี้ผู้การสั่งให้ชายพีร์กับเพื่อนทหารฝึกบินเพื่อเตรียมความพร้อมเพราะชายแดนเริ่มตึงเครียด”
    
    “ถึงชายพีร์จะฝึกหนัก แต่กำลังใจคงดีเพราะเห็นเขามั่นใจว่าสาวจะยอมใจอ่อน”
    
    “คุณชายภัทรเห็นหน้าแล้ว แก้วเห็นแต่รูปในหนังสือพิมพ์ สวยดีค่ะ เป็นดาราดาวรุ่งเสียด้วย”
    
    รณพีร์เดินเซ็งเข้ามานั่ง เหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต มะปรางรีบหันไปแซว
    
    “มาแล้ว เป็นไงคะ ไม่พาสาวเจ้ามาด้วยล่ะ มะปรางอยากเห็น”
    
    “ขืนพามาคงเป็นเรื่อง มีสะใภ้เป็นนางสาวศรีสยามคนหนึ่ง เป็นดาราเต้นกินรำกินอีกคน หม่อมย่าท่านเอาเรื่องพวกเราแน่”
    
    “คงไม่มีใครเอาเรื่องหรอก เฮ้อ รสชาติการถูกปฏิเสธมันเจ็บปวดจริง ๆ ผมไม่เคยเจอ ไม่คิดจะเจอเลย”
    
    “มีผู้หญิงกล้าปฏิเสธ ม.ร.ว.รณพีร์ จุฑาเทพด้วยหรือ ชักอยากเห็นหน้าเจ้าหล่อนแล้วสิ”
    
    “โธ่พี่ชายใหญ่อย่าแกล้งผมสิครับ ผมอกหักจริง ๆ นะ ฮือ” รณพีร์ก้มหน้าลงกับแขนตัวเอง คร่ำครวญเสียใจกับพี่ ๆ
     
    อัทธ์ไปถึงกองถ่ายกินรี เห็นจันทร์กระพ้อกำลังย่างข้าวหลาม ปิ้งปลา อุ่นอาหารง่วนอยู่เพียงลำพัง จึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย
    
    “เตรียมกับข้าวกับปลาไว้ให้ขวัญค่ะ คราวที่แล้วยายป้าไพตัวแสบ เอาข้าวบูดให้ขวัญกิน สงสัยเราต้องพึ่งตัวเองกันแล้วค่ะ”
    
    “ผมเอาข้าวมาให้น้องขวัญกับคุณแล้ว”
    
    จันท์กระพ้อเข้าไปดูข้าวของ “โห เอามาเยอะแยะ ทำอย่างกับเราจะอยู่เป็นเดือน”
    
    “ผมไม่รู้คุณสองคนชอบกินอะไรนี่ครับ เจออะไรก็ซื้อมา”
    
    “ยายขวัญชอบผลไม้ ตามประสานางเอก ส่วนฉันมันต้องข้าวเยอะ ๆ กับน้อย ๆ จะได้มีแรงช่วยพ่อทำค่ายมวย”
    
    “บ้านคุณเป็นค่ายมวย”
    
    “ค่าย ป.ปากเกร็ด ไปถามคนแถวนั้น ใคร ๆ ก็รู้จัก ชื่อพ่อฉัน ป.มาจากปุ้มปุ้ย ฮะฮะฮ่า คิดดูเป็นนักมวยชื่อปุ้มปุ้ย ตอนหลังเลยเปลี่ยนเป็นปัญญา เผื่อมันจะมีขึ้นมาบ้าง”
    
    จันทร์กระพ้อกับอัทธ์หัวเราะลั่น อัทธ์มองความน่ารักของจันทร์กระพ้อ รู้สึกสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ “คุณนี่ไม่เหมือนผู้หญิงที่ผมเคยรู้จัก คุยด้วยแล้วสบายใจดีนะครับ”
    
    จัดการเก็บข้าวของเสร็จแล้ว จันทร์กระพ้อรีบพาอัทธ์ไปหาเพียงขวัญ บงกชแกล้งพูดเสียงดังให้ทุกคนในกองได้ยินว่าเพียงขวัญมีผู้ชายมาหาอีกแล้ว จันทร์กระพ้อรีบแก้ตัวแทนเพียงขวัญ
    
    “เอ๊ะ บอกแล้วไงเขามาหาฉัน ทำไม แก่นกะโหลกอย่างฉัน มีความรักแล้วโลกมันจะแตกหรือไงหา เลิกนินทาเสียที ทำงานได้แล้ว”
    
    คนขับรถเอาช่อดอกกุหลาบแดงมาให้อัทธ์ อัทธ์รับดอกไม้มาแล้วเดินยิ้มไปหาจันทร์กระพ้อ พวกหนุ่ม ๆ ในกองพากันร้องแซว บงกชค้อนหมั่นไส้ สะบัดหน้าเดินหนี เพียงขวัญแอบยิ้ม ถ้าเขาจีบกันจริงก็คงดี
    
    จันทร์กระพ้อแกล้งยิ้มเยาะคนอื่น แล้วเข้ามาชิดอัทธ์ พูดเสียงเบาได้ยินสองคน “ต้องเอามาให้จริง ๆ ด้วยหรือ”
    
    “บอกว่าจะให้ก็ต้องให้สิครับ”
    
    “ครั่นเนื้อครั่นตัวไงไม่รู้ ดูสภาพฉันสิ หน้าอย่างฉันถือช่อกุหลาบเดินเข้าซอยบ้าน หมาคงเห่ากันเกรียว”
    
    อัทธ์หัวเราะอีก ทำหน้าว่าให้รับ จันทร์กระพ้อรับไปยิ้มให้ขอบคุณ อัทธ์มองจันทร์จริงจัง
     
    อัทธ์อยู่คุยกับเพียงขวัญได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับไปทำงานต่อ กองถ่ายเริ่มถ่ายทำ ชนะประดิษฐ์เครื่องกำเนิดควันมาใช้สร้างบรรยากาศให้รอบสระเป็นเหมือนสวรรค์ แต่พอกดปุ่มโชว์ เครื่องเกิดระเบิด ทุกคนพากันตกใจวิ่งหนีชุลมุน กลุ่มกินรีแตกฮือ เตะไฟสปอตไลต์ที่วางตั้งอยู่ร่วงลงไปในน้ำ เสี่ยเพ้งโมโหมาก ไล่ชนะออกจากการเป็นผู้กำกับ ชนะใจสลาย เพียงขวัญกับจันทร์กระพ้อรู้สึกสงสารชนะเป็นอย่างมาก
    
    หลังถูกไล่ออกชนะเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้าน ข้าวปลาไม่ยอมกิน ผ่านไปหนึ่งวัน เพียงขวัญทนไม่ไหว บุกเข้าไปดูในบ้าน เห็นชนะนอนเพ้อถึงเมียที่ตายจากไป สองสิ่งที่ชนะรัก ทั้งเมียและการทำหนัง บัดนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว เพียงขวัญเห็นแล้วก็เศร้าใจ ความรัก....ความรักอีกแล้วหรือ???
     
    ยอดยศนัดจะมากินข้าวเย็นที่บ้านเพียงขวัญ แต่ก็ไม่มา ผิดนัดอีกตามเคย พิมพรรณแกล้งทำเป็นว่าโทรศัพท์ไปหาที่กองบิน แต่ยอดยศไม่อยู่เพราะมีคำสั่งด่วนให้ขึ้นบิน แม่พิมพรรณไม่พอใจมาก แต่คิดว่าเป็นเรื่องงานจริง ๆ เลยไม่กล้าโวยวายอะไร
    
    วันรุ่งขึ้น พิมพรรณพาวิไลรัมภากับไฉไลไปพบยอดยศที่บ้านพัก พอไปถึงพิมพรรณก็เริ่มลงมือเก็บข้าวของรก ๆ ลงถังขยะ ทำงานบ้านให้ยอดยศ ตามประสาแม่บ้านแม่เรือน เหมือนที่เคยทำก่อนหน้า วิไลรัมภาบ่นไม่พอใจเมื่อรู้เรื่องพิมพรรณโกหกแม่เพื่อช่วยยอดยศ เพราะถ้าเป็นเธอคงบอกความจริงพ่อกับแม่ไป เพื่อที่พ่อกับแม่จะได้ช่วยเร่งรัดการแต่งงานให้เร็วขึ้น
    
    วิไลรัมภาเห็นพิมพรรณลงมือทำงานบ้านเองก็ยิ่งไม่ชอบใจ หันไปสั่งไฉไลให้ทำงานบ้านแทน ก่อนดึงตัวพิมพรรณออกไปนั่งจิบน้ำชารอยอดยศอยู่หน้าบ้าน พิมพรรณเกรงใจไฉไลมาก แต่วิไลรัมภาเห็นว่าไฉไลเป็นแค่ลูกเจ้าของเรือข้ามฟาก ที่ยอมให้เข้ากลุ่มเป็นเพื่อนด้วยก็ถือว่าดีมากแล้ว
    
    ยอดยศกลับมาเห็นพิมพรรณที่บ้านก็รู้สึกละอายใจ วิไลรัมภาไม่สนเรื่องยอดยศกับพิมพรรณ เอ่ยปากถามถึงรณพีร์ทันทีที่เห็นยอดยศ ยอดยศพาซื่อตอบไปว่า หมู่นี้รณพีร์ไม่ค่อยอยู่ที่กองบิน วิไลรัมภาอยากรู้มากว่ารณพีร์ไปไหน
     
    รณพีร์ไปหาเพียงขวัญที่โรงถ่าย เพราะไม่รู้ว่ากองถ่ายนางเสือสาวปิดกล้องแล้ว บงกชที่กำลังถ่ายโฆษณาสบู่อยู่รีบปรี่เข้าไปหา รณพีร์ถามหาเพียงขวัญ บงกชนึกหมั่นไส้ พูดว่ารณพีร์เป็นพวกแมงเม่าชอบบินเข้ากองไฟ ระวังจะถูกเผาตายเหมือนยอดยศ
    
    เพียงขวัญไปหาเสี่ยเพ้งที่บริษัท อยากขอร้องให้เสี่ยเพ้งจ้างชนะเป็นผู้กำกับหนังกินรีต่อ เสี่ยเพ้งแวะไปจ่ายเงินค่าโรงถ่าย เจ้าหน้าที่ที่บริษัทโทรศัพท์หาเสี่ยเพ้ง บอกให้รู้ว่าเพียงขวัญมาหา เสี่ยเพ้งคิดแผนชั่ว บอกเจ้าหน้าที่ให้บอกเพียงขวัญให้ตามไปพบที่โรงแรมดาวทอง เพียงขวัญรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่เจ้าหน้าที่บอกเสี่ยเพ้งเป็นเจ้าของโรงแรมนัดคุยกับดาราที่นั่นบ่อย ๆ เพียงขวัญถึงได้ยอมไปพบเสี่ยเพ้งที่โรงแรม
    
    เสี่ยเพ้งคุยโวให้คนในโรงถ่ายได้ยินว่านัดเพียงขวัญให้ไปพบที่โรงแรม รณพีร์ได้ยิน รู้สึกไม่พอใจ จะเข้าไปเอาเรื่องเสี่ยเพ้ง แต่บงกชดึงตัวไว้ก่อน บงกชเชื่อว่าเพียงขวัญเป็นผู้หญิงไม่ดีจริง ๆ รณพีร์ไม่เชื่อ บงกชเลยยุให้รณพีร์ตามไปดูว่าเพียงขวัญนัดพบกับเสี่ยเพ้งที่โรงแรมจริงหรือเปล่า
    
    เพียงขวัญไปถึงโรงแรม เจ้าหน้าที่บอกให้ขึ้นไปพบเสี่ยเพ้งที่ห้อง 601 เพียงขวัญไม่ยอมขึ้นไปพบเสี่ยเพ้งบนห้องตามลำพัง จึงบอกเจ้าหน้าที่ให้โทรศัพท์ขึ้นไปบอกเสี่ยเพ้งว่าเธอจะรออยู่ข้างล่าง เสี่ยเพ้งกำลังอาบน้ำอยู่ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เพียงขวัญลังเล หรือจะมาคุยวันอื่นดี
    
    รณพีร์เห็นเพียงขวัญมาที่โรงแรมจริงก็ไม่พอใจมาก พูดจาดูถูกเพียงขวัญว่าที่คราวก่อนปฏิเสธตนเพราะตนไม่ใช่ผู้อำนวยการสร้างไม่สามารถทำให้เพียงขวัญเป็นนางเอกได้เหมือนเสี่ยเพ้ง เพียงขวัญโมโหเดินหนีขึ้นไปหาเสี่ยเพ้งบนห้องทันที รณพีร์เดินหนีกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไปจากโรงแรมทันที
    
    เพียงขวัญเดินไปถึงหน้าห้องเสี่ยเพ้ง ยังไม่ทันเคาะประตู เสี่ยเพ้งก็เปิดประตูพรวดออกมา เพียงขวัญเห็นเสี่ยเพ้งใส่เสื้อกล้ามนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวก็ถึงกับชะงัก ทำท่าจะหันหลังกลับ แต่ถูกเสี่ยเพ้งกับลูกน้องช่วยกันดึงตัวเข้าไปในห้องเสียก่อน เพียงขวัญพยายามดิ้นหนี เสี่ยเพ้งตบเพียงขวัญสลบเหมือด ลูกน้องช่วยกันอุ้มเพียงขวัญไปวางไว้บนเตียง ก่อนพากันกลับออกจากห้องไป เสี่ยเพ้งฉีกเสื้อเพียงขวัญ แขนเสื้อข้างหนึ่งขาดแคว่ก เสี่ยเพ้งกำลังจะปล้ำเพียงขวัญ แต่รณพีร์ย้อนกลับมาช่วยไว้ได้ทันเวลา
    
    เพียงขวัญตื่นขึ้นมา รู้สึกถึงความรุนแรง กักขฬะจากแขนเสื้อข้างหนึ่งที่ขาด หญิงสาวนิ่วหน้าร้องไห้โฮออกมา รณพีร์ต้องรีบบอกว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เพียงขวัญยังคงร้องไห้ต่อเนื่องไม่ยอมหยุด
    
    “ฉันอยากกลับบ้าน”
    
    “ผมจะพาคุณไปส่งเอง ไม่ต้องกลัวคุณขวัญ ไม่มีอะไรแล้ว” รณพีร์ประคองเพียงขวัญที่ร้องไห้ออกจากห้องไป
     
    กลับจากบ้านพักยอดยศ วิไลรัมภา พิมพรรณ ไฉไลพากันไปทานอาหารที่ร้านอาหารฝรั่งเศส วิไลรัมภายังติดใจสงสัยเรื่องรณพีร์อยู่ พิมพรรณเพิ่งเห็นว่ามือตนเองไม่มีแหวน เลยรีบหยิบกระเป๋าถือมาค้นดู พอเห็นแหวนช่อของตนหล่นอยู่ในกระเป๋าก็รีบหยิบมาใส่นิ้วท่าทางโล่งใจเป็นอย่างมาก
    
    “ค่อยยังชั่ว ใจหายหมดเลย หลุดอยู่ในกระเป๋านี่เอง คงเมื่อกี้ตอนที่ล้วงกุญแจรถ”
    
    วิไลรัมภาเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “แหวนอะไรคะ หน้าตาดูแปลก ๆ”
    
    “พี่ยอดยศ เขาให้พิมค่ะ คนที่จบนายเรืออากาศต้องทำแหวนช่อ 2 วง สำหรับตัวเอง 1วง สำหรับผู้หญิงที่เค้ารัก อีก 1 วง”
    
    “แบบนี้พี่ชายพีร์ก็มีสิคะ”
    
    “ถ้ามีจริง ๆ ก็ต้องตกเป็นของคุณรัมภา ถูกต้องไหมคะ”
    
    ไฉไลยิ้มประจบ วิไลรัมภายิ้มรับ มั่นใจ
     
    รณพีร์ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งเพียงขวัญที่บ้าน เพียงขวัญเลิกร้องไห้แล้ว แต่ยังหน้าตาหมองคล้ำเศร้าซึมอยู่
    
    “ทำหน้าให้สดชื่น เดี๋ยวคุณแม่คุณตื่นขึ้นมาเห็นเข้าจะเป็นห่วง ผมบอกแล้วไง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณก็ยังเป็นคุณคนเดิม ลืมเรื่องวันนี้เสีย”
    
    “ฉันไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงดี คุณพีร์”
    
    “ตอบแทนผมด้วยมิตรภาพสิ มันมั่นคงที่สุด”
    
    “คุณพีร์ฉันขอร้อง อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง” “ครับจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
    
    รณพีร์พยักหน้ารับคำ เพียงขวัญเข้าบ้านไป รณพีร์มองตาม สีหน้ามีแค้น ๆ เสี่ยเพ้งอยู่
      
    เย็นนั้นเพียงขวัญเอาแต่นั่งหน้าเศร้า เขี่ยข้าวไปมาแบบคนซึมเศร้า นภาเห็นแล้วก็แปลกใจ แต่พอเอ่ยปากถาม เพียงขวัญก็รีบปฏิเสธ บอกไม่ได้เป็นอะไร บุหลันโพล่งถามว่าเพียงขวัญจะไปถ่ายหนังอีกเมื่อไหร่ เพียงขวัญวางช้อน โกรธขึ้นมาทันที
    
    “เมื่อไหร่จะถ่ายให้มันจบ ๆ จะได้รับเงินมาซะที เริ่มติดหนี้เฮียที่ร้านชำอีกแล้ว เมื่อวานก็ไปเชื่อข้าวสารเค้ามา เกรงใจเค้า”
    
    “ขวัญจะไม่ไปถ่ายหนังอีกแล้ว เราจะทำมาหากินด้วยการเย็บเสื้อ ขวัญจะไม่รำ ไม่ถ่ายหนัง ไม่ไปออกงานอะไรอีก”
    
    เพียงขวัญเม้มปาก เป็นปัญหาที่ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน รณพีร์ซื้อข้าวสารกับอาหารมาให้พอดี ยายกับนภาหันไปร้องทัก รณพีร์อ้างว่ามากินข้าวที่บ้านนี้บ่อย ๆ รู้สึกเกรงใจ เลยซื้อข้าวสารกับอาหารมาฝาก แล้วยังมียาของยายมาให้ด้วย เพียงขวัญลุกเดินหนีไปหลังบ้าน รณพีร์รีบเดินตามไปคุย
    
    “ไม่อยากเล่นหนังแล้ว พอเข้าใจ ไม่อยากรำนี่คืออะไรครับ”
    
    “อีกหน่อยคงไม่มีใครจ้างอยู่ดี”
    
    “ทำไมล่ะครับ”
    
    “ฉันเล่นหนังกับเสี่ยเพ้งคนเดียวมาตั้งแต่ต้น มีเรื่องกันแบบนี้ เขาคงไม่สนับ สนุนฉัน”
    
    “ถึงสนับสนุน เราก็ไม่ควรไปยุ่งกับไอ้เดรัจฉานคนนั้น”
    
    “อีกไม่นานคนก็จะลืมชื่อฉัน ไม่มีใครจ้างไปรำหรือทำอะไรอีก”
    
    “คนมีฝีมืออย่างคุณ ใคร ๆ ก็ต้องจ้าง คิดมากไปเอง” “ต่อไปนี้ ถึงจ้างฉันก็ไม่รำ ยายเป็นนางรำ ก็เลยเจอตา แม่เป็นนางรำก็ได้เจอพ่อ การเป็นนางรำ เป็นนักแสดง คนเค้าคิดถึงแต่รูปร่างหน้าตาของเรา ไม่มีใครจริงใจกับเรา”   

                             


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง

 
แชร์บทความ...
โค้ดแบบ forum
(BBCode)
โค้ดแบบ site/blog
(HTML)