ผู้เขียน หัวข้อ: กฏซึ่งอยู่เหนือกว่ากฏหมายรัฐธรรมนูญ  (อ่าน 1360 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Kimzii

  • บุคคลทั่วไป
กฏซึ่งอยู่เหนือกว่ากฏหมายรัฐธรรมนูญ
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2012, 04:28:36 pm »




สัปดาห์ที่ผ่านมา...อุณหภูมิในบ้านเมือง ดูจะเริ่มอบๆ อ้าวๆ ขึ้นมาอีกซะแร้นน์น์ อันเนื่องมาจากหลัง พรก.การเงิน 4 ฉบับหลุดพ้นพงหนามไปแค่ไม่กี่อึดใจ รัฐบาลท่านได้นำเสนอพรบ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้ามาในรัฐสภา ผ่านมติครม. และมติสภาวาระแรกไปเรียบโร้ยย์ย์ ความเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ต่อเรื่องราวดังกล่าว เลยก่อให้เกิดกลุ่มผู้สนับ สนุน และคัดค้าน อย่างเป็นกระบวนการ...

ภาพที่ทำให้ผู้สนับสนุนของแต่ละฝ่าย อาจเกิดความคึกคัก สนุกสนาน ไปตามรสนิยมของใคร-ของมัน ไม่ว่าการตั้งเวทีปราศรัย หอบลูก-หอบหลานไปฟังการสำราก สลับกับการเล่นดนตรีเสียดสี กระแนะ กระแหน ใครต่อใครได้ชูมือชูไม้ ตะโกนโห่ ตะโกนฮา รับมุกของนักปราศรัยบนเวที ไม่ต่างอะไรไปจากหน้าม้าในรายการเกมโชว์ ดูๆกำลังจะหวนกลับคืนมาสู่ประเทศไทยกันอีกรอบ แม้ว่าภาพเหล่านี้จะไม่ถึงกับเป็นที่พิศมัยสำหรับผู้คนโดยทั่วไปทั้งหมด แต่ยังมีผู้คนอีกนับหมื่น นับแสนที่ออกจะคลั่งไคล้ ไหลหลง พร้อมที่จะเหมารถนับเป็นสิบๆคันขนสมัครพรรคพวกเดินทางไปเขาใหญ่ ไปแออัดยัดเยียดที่ราชประสงค์ ไปอุดอู้อยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล ฯลฯ

ในเมื่อ “ขบวนการเอ.เอฟ.ทางการเมือง”เหล่านี้ยังมีอยู่อีกมากมาย เยอะแยะ บรรยากาศความสงบ ความนิ่ง มันคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ “พิธีกรรม”ในการสร้างความสมานฉันท์ ปรองดอง ด้วยการส่งเทียบเชิญให้ “ป๋า”กะ “ปู”มากู้อีจู้กันในงาน “รวมใจไทย”เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สุดท้าย...ก็คงเป็นได้แค่ “พิธีกรรม”ไม่ใช่“กระบวนการ” ที่ก่อ ให้เกิดความเป็นจริงเป็นจังอะไรมากมายนัก คือเป็น “เซริโมนี”ไม่ใช่ “โปรเซส” ว่างั้นเถอะ ส่วนไอ้ที่จะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้นไปจากความเกลียด ความโกรธ ความหวาดระแวงระหว่างกันและกัน ที่มันจะยิ่งฝักรากลึกลงไปในความรู้สึกของมวลชนแต่ละฝ่าย โดยมีบรรดาผู้นำ หรือบรรดา “เดอะสตาร์”ของแต่ละฝ่ายช่วยปลูก ช่วยฝัง ความรู้สึกเหล่านี้ให้ซึมลึกลงไปตั้งแต่ลอนสมองเรียบๆจนถึงริดสีดวงทวารเป็นเม็ดๆ...

แต่ทำไงได้...ในเมื่อคนมันอยากจะ“เกลียด”กันซะอย่าง!!!แค่อยู่บ้านเฉยๆ ทำมาหารับประทานไปตามอาชีพ ตาม สัมมาอาชีวะ สัมมาทิษฐิ...มันย่อมที่จะเกิดขึ้นของมันเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปเกลียดใคร โกรธใครอะไรกันมากมาย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันย่อมเป็นไปตาม “กรรมของสัตว์โลก”ด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าหากรู้สึกรักผู้อื่น รักสังคม รักชาติ หรือกระทั่งรักโลกด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ“ความรัก”มันคงไม่ถูกแปลงสภาพให้กลายมาเป็น“ความเกลียด”ได้รุนแรงเช่นนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว...มันมักจะหนักไปทาง“รักตัวเอง”หรือรักตัวกู-ของกู พวกกูฝ่ายกูไปด้วยกันทั้งนั้นเมื่อมีการจุดประกายเงื่อนไข จุดไฟในนาคร ขึ้นมาเมื่อไหร่ มันถึงได้ใส่กันชนิดสุดหลอด สุดลิ่มทิ่มริดสีดวงทวารซะทุกทีไป...

กว่าที่ขั้นตอนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จ กว่าจะผ่านสภาฯ กว่าจะประกาศรับสมัครเลือกตั้งสสร.ทั่วประเทศ กว่าจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคัดสรรผู้ทรงคุณวุฒิฯ เข้าไปร่วมด้วย กว่าจะนั่งประชุมรับจ๊อบ วางบิล เช็คบิล จนกระทั่งเกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาจริงๆ มันคงต้องใช้เวลาอีกเป็นจำนวนไม่น้อย และนั่นน่าจะทำให้ความเกลียด ความโกรธ และความระแวงทั้งหลาย มันคงถูกบ่ม ถูกเพาะ จนถึงขั้นสุกงอมได้ที่ พร้อมจะเข้าห้ำหั่น ฆ่ากัน ประหัตประหารกัน เพียงเพราะสิ่งที่เรียกว่า“ประชาธิปไตย” หรือ“รัฐธรรมนูญ”หัวแก้ว หัวขวดอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ในตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมีประชาธิปไตยแบบไหน หรือไม่มีประชาธิปไตยก็เถอะ ไม่ว่าจะมีรัฐธรรมนูญแบบไหน ฉบับไหนหรือไม่มีรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่สิ่งที่จะทำให้สังคมเกิดความสงบ ความนิ่งขึ้นมาจริงๆ ว่าไปแล้วมันได้เกี่ยวกับอะไรเหล่านี้เอาเลยแม้แต่น้อย แต่ความสงบ ความนิ่ง ของสังคมไทยในแต่ละยุค แต่ละสมัยนั้น มันมักจะมีขึ้น ปรากฏขึ้น ก็ในช่วงที่ผู้คนในสังคมมี “ธรรมะ”ยึดมั่นอยู่ในศีล ในธรรมพร้อมที่จะประพฤติตนอยู่ในครรลอง คลองธรรม ซะมากกว่า...

พูดง่ายๆว่า...ถ้าหากเมื่อไหร่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมขั้นพื้นฐาน ระดับแค่ “ศีล 5”เท่านั้น แทบไม่ต้องเสียเวลาไปร่างรัฐธรรมนูญฉบับใดๆให้เมื่อย แม้ในยุคเผด็จการ หรือกระทั่งในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เถอะ เมื่อใดที่“พระราชา”และ “ราษฏร”ตั้งมั่นอยู่ใน “ธรรม”ความสุข ความสงบ ความมีสันติภาพ สันติธรรม ก็ทาบทาแผ่นดินไทยให้กลายเป็นแผ่นดินทอง เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวไทย และชาวต่างชาติมาโดยตลอด...

แต่ในเมื่อกระทั่ง “ศีล 5”มันยังเป็นอะไรที่หนักอึ้งง์ง์ จนแทบไม่มีใครสามารถแบก สามารถถือได้ครบ ขนาดรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงแท้ๆ ยังสุราเมระยะ มัจชะปะมา ทัดฐานา เมาเป็นระยะๆ ในขณะประชุมรัฐสภาเช่นนี้ ต่อให้ไปเอารัฐธรรมนูญของอเมริกา ของอังกฤษ ฝรั่งเศสมาใช้ มันก็ “ห่วยแตกแบบไทยๆ”จนได้อีกนั่นแหละ ส่วนมุสา วาทา เวระมณี สิขา ปะทังสิมา ทิยามินั้นแทบไม่ต้องพูดถึง มันโกหกซะจนตัวเองเชื่อว่า สิ่งที่มันโกหกนั้นคือ “ความจริง”ไปแล้ว อันนี้...ต่อให้ไปเอารัฐธรรมนูญฉบับคอมมูนปารีส หรือฉบับยูโธเปียมาใช้ก็ตาม มันคงหนีไม่พ้นที่ต้องเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊กต่อไปเรื่อยๆ...

ว่าไปแล้ว “ศีลธรรม”แม้เพียงแค่ระดับ “ศีล 5”นี่แหละ...น่าจะถือว่าเป็น “รัฐธรรมนูญที่สูงซะยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญในทุกๆฉบับ”เอาเลยก็ว่าได้ เพียงแค่ “ผู้ปกครอง”และ“ผู้ใต้ปกครอง”ยึดถือรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยกันทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันจบ!!!“แผ่นดินธรรม-แผ่นดินทอง” ย่อมสามารถปรากฏเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่ในเมื่อ “ศีลธรรม”ยังเอาไม่อยู่ แล้วกฏหมายที่ไหนจะเอาอยู่ กระทั่งกฏหมายสูงสุดก็เถอะ การนำเอาไปบังคับใช้กับคนที่ไม่สนใจในการเข่นฆ่าและเบียดเบียนผู้อื่น คนที่พร้อมจะปล้น พร้อมจะแย่งยื๊อ ขโมยทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง คนที่โกหกปลิ้นปล้อน วันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพิ่มรอบเช้า รอบดึก รอบเสาร์อาทิตย์ อีกต่างหาก คนที่ชอบ ว.5 ไปตามบ้านผัว บ้านเมียของผู้อื่น โดยไม่คิดควบคุมความประพฤติของตัวเองให้พอเหมาะ พอดี อยู่ในขอบเขตแห่งกาม ไปจนถึงคนที่เมาไม่รู้เรื่อง เมาไม่ได้เรื่อง เมาแล้วเอะอะ โวยวาย จนพวกเดียวกันเองยังรับไม่ไหว!!!อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ ถึงจะไปอัญเชิญสมาชิกสภาเทวดาลงมาจุติ เพื่อให้เขียนรัฐธรรมนูญกันโดยเฉพาะ ยังไงๆมันคงไปไม่ได้ ไปไม่เป็น ด้วยกันทั้งสิ้น...

อันที่จริง...สิ่งที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญ”นั้น มันสร้างความปวดหัว ปวดเศียร เวียนเกล้า ให้กับสังคมไทยมานานเต็มที เรียกว่าตั้งแต่เริ่มต้นเป็นประชาธิปไตยกันเลยก็ว่าได้ ต่างฝ่ายต่างก็นั่ง“ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง”อยู่กับเรื่องราวเหล่านี้จนแทบจะไม่มีเวลาทำมาหารับประทานอะไรเอาเลยก็ว่าได้ ร่างแล้ว ก็ร่างใหม่ ร่างแล้ว ก็ร่างอีก บางครั้งร่างเสร็จก็เอาไปซุกไว้ใต้ตุ่ม กลายเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่มไปเลยก็มี แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าร่างฉบับไหนที่มันจะสามารถทำให้ผู้คนเกิดการยึดมั่นอยู่ในศีล ในธรรม เกิดความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดี คิดดี ประพฤติดี แม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ยิ่งร่างขึ้นมากขึ้นเท่าไหร่ มันกลับทำให้ผู้คนกลายเป็น“ศรีธนญชัย”กันไปทั้งบ้าน ทั้งเมือง ถนัดในการโกหกปลิ้นปล้อนหลอกลวง แย่งยื๊อ เบียดบังเอาผลประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัว ประพฤติผิด“ศีล 5”มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าตั้งแต่ระดับผู้ปกครอง หรือผู้ใต้ปกครองก็ตาม และที่น่าเจ็บปวด รวดร้าว ทรมาณเป็นอย่างยิ่งก็คือ มันกลายเป็นตัวนำมาซึ่งความเกลียด ความโกรธ ความขัดแย้ง แตกแยก มาสู่ผู้คนพลเมืองโดยตลอด...

จนอาจเรียกได้ว่า...ความฉิบหายวายวอด เสื่อมโทรม ทรุดโทรมของบ้านเมือง ตลอดช่วงระยะ 70-80 ปีที่ผ่านมา มันสืบเนื่องมาจากเหตุที่ผู้คนมัวแต่ไปสนใจในอยู่เรื่องกฏหมายรัฐธรรมนูญ โดยไม่คิดจะสนใจเรื่องกฏแห่งกรรม หรือกฏแห่งศีลธรรม ที่เคยนำมาซึ่งความสุข ความสงบ ความมีสันติภาพ สันติธรรม ในอดีตเอาเลยแม้แต่น้อย...




ขอขอบคุณ: innnews.co.th      

โดย :KimZii โพสเมื่อ [วันจันทร์ ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 16:29 น.]  

 
แชร์บทความ...
โค้ดแบบ forum
(BBCode)
โค้ดแบบ site/blog
(HTML)