“เป็นหมาบ้าหรือไง! ปล่อย!”
“ไอ้อ่อย!!! ”
พิแสงเงยหน้าขึ้นมองถนนอีกครั้ง รถสวนทางสาดไฟส่องเข้าหน้ามาแต่ไกล ทั้งสองตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ แล้วรถของพิแสงก็พุ่งลงข้างทางตกจากไหล่เขาลงไปอย่างรวดเร็ว เขมมิกตกใจร้องลั่นกอดชายหนุ่มแน่น พิแสงพยายามประคองรถ แต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายรถก็ไปกระแทกกับโขดหิน
คนทั้งสองหน้ากระแทกคอนโซลอย่างแรง กระโปรงหน้ารถกระแทกกับโขดหินจนฝากระโปรงเด้งเปิดขึ้นมา ควันขึ้นโขมงและวงจรช็อต พิแสงตกใจ รีบลากตัวเขมมิกออกมาจากรถ แล้วกอดเธอไว้แน่นเพื่อปกป้องสุดชีวิต ก่อนที่รถจะระเบิด
พิแสงล้มลงข้าง ๆ ร่างของเขมมิก เสียงระเบิดและแรงกระแทกให้เขมมิกได้สติ เศษซากรถปลิวกระจายว่อน พิแสงพลิกตัวใช้ตัวเองปกป้องเขมมิกจากเศษซากรถ เขมมิกจ้องหน้าชายหนุ่มที่เคร่งเครียดกับวินาทีเฉียดตายและต้องการปกป้องเธอด้วยความรู้สึกเต็มตื้น เขมมิกยิ่งแน่ใจว่าตอนนี้เธอได้มอบหัวใจให้พิแสงไปหมดแล้ว
พิแสงกอดเขมมิกเอาไว้ทั้งตัวและศีรษะเพื่อไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของเขมมิกถูกเศษซากรถ เขมมิกซุกอยู่ในอ้อมกอดของพิแสงด้วยตัวสั่นเทาแต่อุ่นใจเหลือเกิน
เขมมิกปลอดภัย แต่พิแสงเจ็บที่หลัง ตอนอุ้มเขมมิกออกมาจากรถ เขมมิกร้องไห้ออกมาอย่างรู้สึกผิดมากที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“ร้องไห้ทำไม หือ?” พิแสงถามเสียงอ่อนโยน
“ฉันทำให้เกิดอุบัติเหตุ ฉันทำให้เราทั้งคู่เกือบตาย ฉันทำให้หลังคุณเจ็บ ฉันทำให้...”
พิแสงเอามือปิดปากเขมมิกเอาไว้ เขมมิก อึ้งมองหน้าชายหนุ่ม
“ฉันเองก็มีส่วนผิด ถ้าแค่ยอมคุยกับเธอดี ๆ เราคงไม่ต้องทะเลาะกันจนทำให้เรื่องเป็นแบบนี้” พิแสงปล่อยมือ
“ไม่ต้องโทษตัวเองแล้วนะ...แล้วยังไงกันต่อดีล่ะทีนี้ มือถือก็แหลกเป็นจุณอยู่ในนั้น”
“ของฉันก็เหมือนกัน...คุณว่า...จะมีใครได้ยินเสียงรถระเบิด หรือคนขับรถบรรทุกคันนั้นจะเห็นว่าเราร่วงลงข้างทางแล้วคิดจะมาช่วยเรามั้ย”
“ก็อาจจะ...แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กว่าความช่วยเหลือจะมาถึง อาจจะต้องรอถึงเช้า กว่าคนจะหาเราเจอ” ทั้งสองมองไปรอบ ๆ มีแต่ป่าทึบมืด แล้วฝนก็ค่อย ๆ โปรยลงมา... ทั้งสองพยายามเดินหาบ้านคน เจอกระท่อมหลังหนึ่ง พิแสงชวนเขมมิกเข้าไปพัก แต่เธอคิดไปไกลว่าเข้าไปในกระท่อมเดี๋ยวก็เสร็จพิแสงเหมือนในละครน้ำเน่าทั่ว ๆ ไป แล้วสุดท้ายก็ลงเอยมีอะไรกัน
“ยอมหนาวเป็นปอดบวมตายอยู่นี่ดีกว่าเข้าไปให้คุณจุดจุดจุด” เขมมิกกอดต้นไม้แน่น
“นี่ สภาพฉันยิ่งกว่าหมาหอบ ไม่มีอารมณ์จะจุดจุดจุดกับเธอหรอก...ยัยบ๊อง!” พิแสงขำกับความคิดของเขมมิก
“ผู้ชายไว้ใจไม่ได้ ยิ่งมีประวัติอยู่แล้วด้วย”
“ประวัติอะไร”
“ช่างเหอะ...ไง ฉันก็ไม่ไป”
“งั้นสาบานให้ฟ้าผ่าสิ เอาถ้าฉันคิดจะทำมิดีมิร้ายกับเธอ”
เขมมิกกับพิแสงนิ่งไม่มีเสียงฟ้าผ่า
“เห็นมั้ยว่า...ฉันบริสุทธิ์ใจ ไป” พิแสงบอก
“ยังไงก็ไม่!” เขมมิกปากคอสั่นไปหมดเพราะหนาวมาก
พิแสงพยายามจะลากเขมมิกเข้าไปในกระท่อม แต่เธอไม่ยอมง่าย ๆ เกิดการยื้อยุดกัน จู่ ๆ ก็มีไม้หน้าสามฟาดใส่กลางหลังพิแสงอย่างแรง เขมมิกตกใจ....เป็นฝีมือชาวบ้านที่มากรีดยาง เห็นเหตุการณ์เข้าก็คิดว่าเขมมิกกำลังถูกฉุดไปทำมิดีมิร้ายจึงเข้ามาช่วย แต่สถานการณ์กลับพลิกผัน เมื่อเขมมิกเข้าไปกอดปกป้องพิแสงไว้ ชาวบ้านเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจว่าทั้งสองเป็นผัวเมียกัน
ในที่สุดชาวบ้านสองผัวเมียก็พาพิแสงกับเขมมิกมาพักที่บ้าน โดยทั้งคู่ให้พักห้องเดียวกัน
“พักที่บ้านพี่ก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าจะพาไปส่ง ตอนนี้ฝนตก ถนนเละ รถวิ่งลำบาก...ขอโทษจริง ๆ นะหนุ่มที่เข้าใจผิด พี่วางเสื้อผ้า ยาแก้ไข้ไว้ให้ในห้องแล้วนะน้อง ตากฝนมาตั้งนาน กินกันไว้ก่อน อ้อ...มียาหม่องด้วย นวดให้ผัวซะนะ สงสัยจะช้ำน่าดู” เมียของชายชาวบ้านบอก
พิแสงกับเขมมิกสบตากันอย่างเขิน ๆ
“เอ่อ...ไม่มีห้องอีกห้องเหรอคะ” เขมมิกถาม
“ห้าย!! ผัวเมียกันจะนอนแยกห้องกันทำไม เอ๊ะ...หรือว่า...”
“คงจะยังงอนอยู่ที่ผมขับรถไม่ระวัง ทำให้เกิดอุบัติเหตุ”
เขมมิกหันมองพิแสงตาเขียว เขารีบโอบเขมมิกเอาไว้
“ห้าย เมียพี่ก็ประจำ งอนปุ๊บ ไล่ให้ไปนอนนอกห้องปั๊บ แล้วพอดึก ๆ ก็ย่องมาสะกิดให้กลับไปนอนด้วยกัน...ไป เราก็ไปนอนกันได้แล้ว” พูดจบชาวบ้านสองผัวเมียก็พากันออกไป เขมมิกทำท่าจะเรียก แต่ถูกพิแสงห้ามไว้
“อย่าทำให้พี่เค้าลำบากอีกเลย บ้านเขามีแค่ห้องเดียว เขาเสียสละให้เรานอนแล้ว หรือคุณจะให้พี่เค้าไปนอนนอกบ้าน”
เขมมิกเหลือบมองพิแสงที่ยังโอบไหล่เธอไว้ไม่ปล่อย พิแสงยิ้มให้แต่ก็ยังไม่ปล่อย เขมมิกทำท่าจะถองแต่พิแสงจับแขนของเขมมิกเอาไว้
“เมื่อกี้...ใครกันนะที่ขอร้องพี่เค้าไม่ให้ทำร้ายฉัน แต่ตอนนี้เธอกลับจะทำซะเอง...”
เขมมิกหน้าแดง สะบัดแขนหลุดจากชายหนุ่มแล้วจะเดินเข้าห้อง พิแสงเข้าไปกั้นเอาไว้
“เธอเป็นห่วงฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ...ทำไม” พิแสงมองหน้าถาม เขมมิกเขิน ลอดแขนพิแสงเข้าห้องไป พิแสงเดินตามเข้ามานั่งใกล้ ๆ ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ ตกอยู่ในความคิดของตัวเอง พิแสงอยากรู้ว่าเขมมิกคิดยังไงกับตัวเขากันแน่ จึงตัดสินใจถามว่าเธอเป็นห่วงเขาใช่มั้ย ถึงปกป้องเขาแบบนั้น เขมมิกไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง พลางอธิบายว่าที่เธออ้อนวอนชาวบ้าน เพื่อเรียกร้องความสงสารเท่านั้น
“ตั้งแต่เธอเข้ามาป่วนชีวิตฉันที่นี่ ระบบความคิดของฉันที่เคยมี มันพังหมดเลยเธอรู้มั้ย”
“พังยังไงคะ” เขมมิกถาม
“อยากฟังจริง ๆ เหรอ”
“ค่ะ” เขมมิกท่าทางสนใจ
“ฉันไม่มีสมาธิทำงาน ในหัวคิดแต่เรื่องของเธอ ว่าวันนี้เธอจะสร้างเรื่องอะไรให้ฉันปวดหัวอีก ไอ้หลอดกับไอ้เสริมมันจะลืมเธอไปปล่อยทิ้งไว้ที่ไหนอีกหรือเปล่า เธอจะไปอารมณ์เสียใส่ไอ้ทีเด็ดมั้ย หรือว่าฉันใช้งานเธอหนักเกินกว่าที่ควรหรือเปล่า ทำไมกับไอ้หมอเธอถึงได้มีเรื่องคุยมีเรื่องหัวเราะได้ตลอดเวลา แต่กับฉัน...ทำไมเธอไม่เคยคุยด้วยอย่างนั้นเลย...สายตาฉันจับจ้องอยู่ที่เธอ ไม่ว่าเธอจะไปไหนหรือทำอะไร ไม่รู้ทำไมว่าฉันรู้สึกผูกพันกับเธอมานานนักหนา ทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งจะเจอกัน”
เขมมิกอึ้ง น้ำตาซึมโดยไม่รู้ตัว เพราะสิ่งที่พิแสงพูดคือการสารภาพรักชัด ๆ พิแสงค่อย ๆ เอามือไปเช็ดน้ำตาให้เขมมิกอย่างแผ่วเบาแล้วคุกเข่าตรงหน้าเขมมิก
“และที่สำคัญ...ทำไมเราไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้ ก่อนที่เธอจะมีคู่หมั้น”
“คุณพิแสง...” เขมมิกตกใจ
“เหตุการณ์เมื่อกี้...ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย รู้มั้ยว่าฉันคิดอะไร...ขอให้ฉันรอดตาย ขอให้เธอไม่เป็นอะไร...เพื่อที่ฉันจะยังมีลมหายใจมาบอกความรู้สึกของฉันกับเธอ ฉันไม่อยากตายไปโดยที่ยังเก็บมันเอาไว้ ถึงแม้จะรู้ดีว่า...เมื่อบอกไปแล้ว สิ่งที่ฉันได้กลับมา จะมีแค่เพียง...ความว่างเปล่า แต่ฉันก็จะไม่เสียใจ”
เขมมิกโผเข้ากอดพิแสงไว้แล้วร้องไห้โฮ พิแสงอึ้ง เขาทั้งรู้สึกดีและเจ็บปวดในคราวเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
เดลินิวส์-ข่าวบันเทิง